ครีมกันแดดผู้หญิง คืออะไร
คือ ผลิตภัณฑ์ครีมที่ใช้ในการป้องกันผิวสำหรับผู้หญิง จากรังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสียูวี ที่เป็นสาเหตุในเกิดริ้วรอยบนใบหน้า, รอยเหี่ยวย่น, ผิวหน้าหมองคล้ำ, ผื่นแดงและไหม้เกรียมบนใบหน้า รวมถึงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิด โรคมะเร็งบนผิวหน้าอีกด้วย
SPF คืออะไรในครีมกันแดดผู้หญิง
คือ ค่าที่อยู่ในครีมกันแดด ที่บอกถึงความสามารถในการป้องกันแดดได้นานเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับค่าตั้งต้นที่เราสามารถทนได้แด้ ซึ่ง SPF นั้นย่อมาจากSunburn Protection Factor ค่า SPF นั้นมีตั้งแต่ค่าป้องกันรังสียูวีบี (UVB:Ultravilolet B) ในระดับที่น้อย หรือเพียงแค่ 10-15 เท่านั้น จนถึงค่า SPF ที่สูงและเป็นค่าที่เราจะเลือกใช้กัน รวมถึงผลิตภัณฑ์กันแดดที่ผลิตออกมาในตอนนี้ จะเน้นในประสิทธิภาพการป้องแดดอยู่ที่ SPF 30 กัน
ซึ่งถ้าตัวครีมที่ใช้กันแดดนั้น ระบุค่า SPF เราสามารถเข้าใจได้เลยว่า เป็นตัวที่คู่กับรังสียูวีบี หรือมีหน้าที่ในการป้องกันรังสี UVB ที่จะเข้ามาทำร้ายผิวหนังของเราเท่านั้น โดยรังสียูวีบี จะมีค่าความยาวคลื่นที่สั้นกว่า รังสียูวีเอ (UVA:Ultraviolet A) โดยมีคลื่นความถี่อยู่ที่ 290-320 นาโนเมตร แต่หากยืนตากแดดเป็นเวลานานๆ ก็สามารถทำให้ผิวหนังเราไหม้, เกรียม และขึ้นผื่นแดงได้
การเลือกใช้ค่า SPF เท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับสถานที่ๆ เราโดนแดด, เวลาที่เราเจอแดด แต่สิ่งที่จะช่วยให้เราพิจารณาได้ว่า เราควรที่จะเลือกใช้ SPF เท่าไหร่เพื่อให้เหมาะกับทั้งความแรงของแดดและสามารถป้องกันรังสี UVB ได้แบบพอดี เราลองมาพิจารณาตามตารางด้านล่างนี้กันดู
ค่า SPF | รูปแบบกิจวัตรประจำวัน |
10-15 | ทำงานในห้องแอร์ทั้งวัน |
มากกว่า 15 | ออกมาข้างนอก หรือเจอแดดบ้าง |
30 หรือมากกว่า | เน้นออกนอกสถานที่ และเจอแดดแรง |
ซึ่งในระดับค่าของ SPF นั้นสามารถบอกเราได้ว่า การทาครีมกันแดดผู้หญิงในครั้งนั้น จะช่วยป้องกันรังสี UVB หรือ ยูวีบีได้นานแค่ไหน ด้วยวิธีง่ายๆ คือ หากเราต้องยืนโดนแดดผ่านไปเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น เราจะมีอาการผิวเป็นผื่น, คัน และแดงร่วมด้วย นั่นคือระยะเวลาที่เรามีขีดจำกัดในการทนแดดได้
ให้เรานำเอาค่า SPF ที่เราใช้ในครีมกันแดดที่ใช้อยู่ อย่างเช่น เราใช้ครีมกันแดด SPF 30 ให้นำไปคูณกับจำนวนนาทีข้างต้น เป็นเวลาที่มีปฏิกิริยาเมื่อโดนแดด และจะเกิดอาการกับผิวหนัง คือ 30×20 นาที ผลลัพธ์ที่ได้คือ 600 นาที หรือ ทาครีมกันแดดในครั้งนั้น เราครอบคลุมการกันรังสียูวีบีได้นานถึง 10 ชั่วโมงทีเดียว
PA คืออะไรใน ครีมกันแดดผู้หญิง
คือ ระดับค่าตัวป้องกันที่จับคู่กับ รังสียูวีเอ หรือในอีกความหมายหนึ่งคือ เป็นค่าที่บอกถึงระดับการป้องกันรังสียูวีเอนั่นเอง PA หรือย่อมาจาก Protection Grade of UVA ที่ชื่อก็บอกแล้วว่า มีการปกป้องคุ้มครองผิวเฉพาะรังสียูวีเอเพียงเท่านั้น แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ รังสียูวีเอ เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นมากกว่า รังสียูวีบี และเป็นรังสีอันตรายที่ผลทำลายผิวของเราได้มากที่สุด
คลื่นความถี่ของรังสียูวีเอ อยู่ที่ 360-400 นาโนเมตร รังสียูวีเอมีส่วนในการทำลายผิวเราให้มีความหมองคล้ำ, ริ้วรอยเกิดขึ้นบนใบหน้า ซึ่งเกิดผิวที่ขาดความชุ่มชื่น และด้วยตัวรังสียูวีเอนี้ จะไปทำลายการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินที่ผิวหนังสร้าง ดังนั้นก็จะส่งผลให้ชั้นผิวหนังทั้งหนังแท้และหนังกำพร้า ขาดความยืดหยุ่น
รังสียูวีเอเป็นสาเหตุของรอยเหี่ยวย่น, ริ้วรอย รวมถึงความอันตรายมากกว่านั้นคือ รังสียูวีเอจะไปสร้างสารอนุมูลอิสระบนชั้นผิวหนัง ยังทำให้เป็นสาเหตุในการเกิดมะเร็งที่ผิวหนังได้อีกด้วย นอกจากที่เราจะบำรุงผิวหน้าด้วย น้ำแร่ฉีดหน้า , เซรั่มเกาหลี , คอลลาเจน , ครีมบำรุงหน้า , วิตามินบำรุงผิว , เจลว่านหางจระเข้ , ครีมกระชับรูขุมขน , มาร์คใต้ตา , ครีมรกแกะ , ครีมลดริ้วรอย สิ่งที่ไม่ควรลืมเลยเมื่อออกนอกบ้านคือ การทาครีมกันแดดผู้หญิง เพื่อป้องกันรังสีเหล่านี้ไว้
ค่า PA | ระดับการป้องกัน UVA/เท่า | ระดับการป้องกัน UVA |
PA+ | 1-4 | น้อย |
PA++ | 4-8 | ปานกลาง |
PA+++ | 8-16 | มาก |
PA++++ | 16 ขึ้นไป | มากสุด |
คุณสมบัติของ ครีมกันแดดผู้หญิง ที่ดีเป็นอย่างไร
รังสี UVA
รังสี UVA ตามที่เราได้บอกไปคร่าวๆ แล้วข้างต้นว่า ถือว่าเป็นรังสีที่อันตราย อีกทั้งยังมีคลื่นความถี่ที่ยาวมากถึง 360-400 นาโนเมตรอีกด้วย ผลเสียที่ตามมากับการทำลายผิวของเราก็คือ ทำให้เกิดริ้วรอย, ความเหี่ยวย่นต่างๆ เกิดขึ้นบนใบหน้า รวมถึงการเกิดสารอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งทางผิวหนัง สิ่งเหล่านี้เราอาจจะมองดูว่า เป็นเรื่องห่างไกลเพราะคงไม่ได้เจอปัญหาผิวหนังแบบนี้ภายในวันเดียวที่เจอแดด
แต่หากเราปล่อยและไม่หาครีมกันแดดดีๆ มาป้องกันแล้ว สภาพผิวของเราก็จะโดนทำลายไปทุกวัน จนเมื่อผิวเกิดความหมองคล้ำ, ริ้วรอย และผิวไหม้เกรียม การที่จะมาฟื้นฟู และดูแลให้กลับคืนสภาพผิวหน้าที่เหมือนเดิมนั้น ก็จะต้องใช้เวลาและในบางครั้งก็ไม่สามารถกลับมามีสภาพผิวหน้าได้เหมือนเดิม
ซึ่งการเลือกค่าตัวป้องกัน PA ที่มีสัญลักษณ์ 3 บวกก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดกับผิวหน้าของเราเอง ซึ่งจะช่วยป้องกันแดดแรงๆ ที่มาพร้อมกับรังสียูวีเอ อีกทั้งหากเราเลือกเนื้อครีมที่มีความบางเบา, ไม่เป็นคราบ และไม่อุดตันรูขุมขน นอกจากจะช่วยป้องกันรังสียูวีเอได้แล้วนั้น ยังเป็นการดูแล, ป้องกันและบำรุงผิวหน้าไปในครั้งเดียว
รังสี UVB
ถึงแม้หากเราจะเทียบความแรงของรังสียูวีเอ ที่มีความรุนแรงกว่า รังสียูวีบี แต่ในความจริงเมื่อเราโดนแดด และไม่มีการทาครีมกันแดดป้องกันไว้ รังสี UVB ก็มีส่วนที่จะทำให้ผิวหน้าของเราเกิดความหมองคล้ำ, ผิวไหม้เกรียม รวมถึงผื่นแดงที่ขึ้นบนใบหน้า ดังนั้นเราควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่าSPF > 30 เพื่อที่จะช่วยป้องกันในเวลาที่ต้องออกไปเจอแดดจัดๆ นอกสถานที่ร่วมด้วย
ซึ่งในอดีตเราอาจจะสามารถใช้ SPF ค่า 10-20 เพื่อป้องกันรังสี UVB ชนิดนี้ได้อยู่ แต่ในปัจจุบันนี้กับสภาพแดดที่มีความแรงมากขึ้น การป้องกันรังสี UVB ที่ได้ผลจะต้องใช้ค่า SPF สูง หรืออยู่ในระดับที่ SPF 30 หรือ SPF 50 ถึงจะสามารถป้องกัน รวมถึงควรที่จะไม่ลืมเลือกคุณสมบัติเนื้อครีมที่ไม่อุดตันรูขุมขน และไม่เป็นคราบ เพื่อให้ง่ายต่อการแต่งหน้า
ซึมเร็ว
เนื้อครีมกันแดดที่มีลักษณะที่ซึมซาบเร็วนั้น เราสามารถรับรู้ได้จากเนื้อครีมที่มีความบางเบา และเมื่อทาบนผิวหน้า จะต้องไม่มีเนื้อครีมเหลือทิ้งความมันไว้บนใบหน้า ซึ่งการที่เนื้อครีมมีคุณสมบัติซึมเร็วนี้ ไม่ได้มีผลดีเพียงแค่การแต่งหน้าอย่างเดียว ยังรวมถึงประสิทธิภาพในการปกป้องผิวหน้าจากรังสียูวีได้ดีอีกด้วย
ไม่เหนียวเหนอะหนะ
ด้วยความที่เมืองไทยเราเป็นเมืองร้อน ดังนั้นตัวเนื้อครีมกันแดดนั้น ไม่ควรมีความเหนียวเหนอะหนะ หรือความมันเยิ้มติดค้างบนใบหน้าหลังจากการทา เพราะนอกจากจะทำให้เราไม่สามารถที่จะแต่งหน้าและทาแป้งได้เนียนแล้ว ยังมีผลไปถึงระหว่างวันที่เจอแดดร้อน จะทำให้ผิวหน้าของเรามีสภาพที่มันเยิ้ม และดูหมองคล้ำ
บางเบา
ถึงแม้จะเป็นครีมกันแดดผู้หญิงก็ตาม แต่มีหลายยี่ห้อด้วยกัน ที่เมื่อทาลงบนผิวหน้า นอกจากจะซึมลึกเข้าชั้นใต้ผิวหน้าได้เร็ว ยังมีเนื้อครีมที่บางเบา ไม่หนักหน้าหลังจากที่ทา หรือในความหมายที่ว่า ทาแล้วให้ความรู้สึกเสมือนว่าไม่ได้ทา ซึ่งคุณสมบัตินี้ถือว่าเป็น เนื้อครีมกันแดดที่สาวๆ ทุกคนต้องการกัน
กันน้ำ
ครีมกันแดดผู้หญิงที่มีคุณสมบัติที่กันน้ำได้นั้น นอกจากสามารถช่วยในเวลาไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ที่จำเป็นต้องโดนน้ำ, กันฝน ยังช่วยในเรื่องกันแต่งหน้า ที่ป้องกันเหงื่อที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างวันอีกด้วย ที่ทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส และไม่มันเยิ้มเมื่อเจอกับอากาศร้อน และเหงื่อออก
ไม่เป็นคราบ
สาเหตุหลักที่มีหลายคนมักจะเจอกับปัญหา การทาครีมกันแดดแล้วมีคราบขาวเกิดขึ้นหลังจากนั้น ซึ่งมีผลทำให้การแต่งหน้าดูไม่ดีไปด้วย เพราะตัวครีมกันแดดเป็นรูปแบบของPhysical Sunscreen ที่มีส่วนผสมของการเพิ่มความขาวให้กับผิวหน้า ดังนั้นหากเราต้องการเลี่ยงจากปัญหานี้ ควรเลือกครีมกันแดดแบบ Chemical Sunscreen ที่สามารถป้องกันรังสี UVA และรังสี UVB ได้เหมือนกัน
ไม่อุดตันรูขุมขน
ครีมกันแดดผู้หญิงควรจะมีเนื้อครีม หลังจากที่ได้ทาไปแล้วนั้น ไม่มีการสะสมและทำให้รูขุมขนอุดตัน ซึ่งปัญหานี้มักจะก่อให้เกิดความกังวลใจ กับผู้ที่มีผิวหน้ามันและผิวแพ้ง่าย โดยหลักๆ แล้วนั้น เราสามารถที่จะพิจารณาตัวเนื้อครีมบางเบา ที่ซึมซาบเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหน้าได้เร็ว จะไม่เกิดปัญหาการอุดตันที่รูขุมขน
ไม่ก่อให้เกิดสิว
ในแต่ละผลิตภัณฑ์กันแดดนั้น จะมีการระบุไว้เฉพาะสำหรับผิวหน้าแต่ละคน เราควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดด เฉพาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือผู้ที่มีผิวมัน ซึ่งจะเป็นครีมกันแดดที่มีความมันไม่มาก และมีเนื้อที่บางเบา ซึมเข้าผิวหน้าได้ดี
การเลือกซื้อ ครีมกันแดดผู้หญิง
1.ค่า SPF และ PA
อย่างที่เราได้เกริ่นนำไปข้างต้นแล้วว่า รังสีที่น่ากลัวต่อผิวของเราทุกคนคือ รังสียูวีเอ และรังสียูวีบี ซึ่งถ้าเป็นรังสียูวีเอ ค่าที่บอกการป้องกันรังสีชนิดนี้ได้คือPA ที่จะต้องตามมาด้วยสัญลักษณ์บวก ที่ยิ่งมีสัญลักษณ์ตัวนี้มาก แสดงว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีเอได้มากตามไปด้วย
ในอีกทางหนึ่งก็คือ หากเป็นรังสียูวีบี ค่าที่จะบอกระดับการป้องกันก็คือ SPF ที่ตามด้วยตัวเลข แต่ในวันนี้ที่มีทั้งอากาศที่ร้อน และแสงแดดก็แรงขึ้นทุกวัน แนะนำว่าควรเลือกใช้ค่า SPF ในระดับ 30 หรือมากกว่านั้น เพราะนอกจากจะสามารถป้องกันสีผิวที่จะคล้ำขึ้นแล้วนั้น ยังช่วยป้องกันเรื่องริ้วรอย, ความเหี่ยวย่น และลดความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง
2.ลักษณะเนื้อครีม
เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า นอกจากประสิทธิภาพในการป้องกันแดดได้แล้ว สำหรับผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดนี้ สิ่งที่ควรใส่ใจก็คือ ตัวเนื้อครีม เพราะนอกจากมีผลต่อการกันแดดแล้ว ยังมีผลโดยตรงต่อผิวหน้าของเราทุกคนอีกด้วย เพราะเนื้อครีมกันแดดก็มีผลต่อการซึมเข้าลึกใต้ผิวหนังได้มากน้อยแค่ไหน นั่นก็หมายถึงการป้องกันแดดได้ดีมากเท่านั้นด้วย
บางเบาและซึมง่าย
ถือว่าเป็นลักษณะเด่นและสาวๆ เกือบทุกคน ก็ต้องการเนื้อครีมกันแดดในลักษณะแบบนี้คือ เนื้อครีมบางเบา และซึมซาบเข้าผิวหน้าได้ง่าย รวมถึงไม่รู้สึกเหนอะหนะ เพราะอย่าลืมว่าหลังจากทาครีมกันแดดแล้วนั้น ผู้หญิงหลายคนยังต้องลงรองพื้น และทาแป้งทับ ซึ่งหากเป็นเนื้อครีมที่ไม่ซึมได้เร็ว และมีความมันมากจนเกินไป เมื่อออกไปเจอแดดและความร้อนก็จะยิ่งทำให้ผิวหน้าดูมันเยิ้มและหมองคล้ำร่วมด้วย
ไม่อุดตันรูขุมขน
คิดว่าผู้ที่มีผิวหน้าทั้งผิวแพ้ง่าย และผู้ที่มีผิวมันน่าจะเป็นกังวลพอสมควร กับการเลือกครีมกันแดดผู้หญิง เพราะปัญหาของผิวทั้ง 2 แบบนี้ มักจะเกิดอาการแพ้, ขึ้นผื่น, เกิดสิวขึ้น และเกิดการอุดตันที่รูขุมขนได้ง่าย ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยในการพิจารณาเลือกครีมกันแดด ที่ไม่อุดตันก็คือ เนื้อครีมที่ซึบได้เร็ว และเป็นเนื้อครีมที่บางเบา ไม่มีความเข้มข้นและมันจนเกินไป
ไม่เป็นคราบ
เราหลายคนคงเคยมีปัญหากับการทาครีมกันแดด แล้วเกิดคราบขาวขึ้นบนใบหน้าหลังผ่านไปไม่นาน ซึ่งเกิดจากการใช้ครีมกันแดดประเภทที่เป็น Physical Sunscreen ที่เป็นสารเน้นการสะท้อนกลับของรังสียูวีเอ และรังสียูวีบี แต่สิ่งที่อาจจะมีผลกลับมาหลังจากการใช้คือ เกิดคราบขาวขึ้นบนใบหน้า ซึ่งบางครั้งก็จะดูเหมือนเราแต่งหน้าไม่สมดุลกัน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เกิดจากแป้ง หรือเครื่องสำอางที่เราทาไป แต่เป็นเพราะสารที่เป็นส่วนผสมของครีมกันแดด
ถึงแม้ว่าสารตัวที่ช่วยป้องกันรังสีทั้งยูวีเอ และรังสียูวีบีจะช่วยให้หน้าเราขาวในช่วงที่ทาครีมกันแดดก็จริง แต่เมื่อเราออกแดด หรือเจอเหงื่อออก ก็จะเป็นปัญหาอย่างที่เราเจอๆ กันคือ เกิดคราบขาวกระจายทั่วหน้า การหันไปใช้ครีมกันแดดแบบเคมี หรือ Chemical Sunscreen ที่ในแต่ละผลิตภัณฑ์จะมีระบุไว้ ก็จะช่วยตัดปัญหานี้ได้ และทำให้การทาครีมกันแดดหลังจากนี้หน้าเราก็จะไม่เป็นคราบขาวอีกต่อไป
3.เหมาะกับสภาพผิว
ในการเลือกพิจาณาเพื่อให้ได้ครีมกันแดดที่ดีที่สุดสำหรับเรานั้น เราควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวหน้า ซี่งผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดผู้หญิงในปัจจุบันนี้ ก็มีการบอกแยกการใช้งาน สำหรับผิวหน้าของผู้หญิงแต่ละแบบไว้ เพราะหากมีการเลือกใช้ผิด ถึงแม้เราจะสามารถกันแดดได้ดีก็ตาม แต่จะมีปัญหาที่ตามมาพร้อมกับ สิวอุดตัน หรือการเกิดอาการผื่นแพ้ขึ้นกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีผิวมันซึ่งคิดว่า หลายคนจะมีสภาพผิวหน้าในลักษณะนี้ ควรเลือกเนื้อครีมบางเบา, ซึมได้เร็ว, ไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันที่รูขุมขนร่วมด้วย ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่มีแห้ง ต้องลงลึกที่เนื้อครีมที่ทาแล้วไม่เป็นคราบ เพราะด้วยธรรมชาติของผู้ที่มีผิวแห้งนั้น จะมีปัญหาในการทาครีมและแป้งที่จะไม่ติด และเกิดคราบหลังการทา ซึ่งในแต่ละสภาพผิวหน้า เราสามารถแบ่งได้คร่าวๆ คือ
- ผิวมัน
- ผิวแห้ง
- ผิวผสม
- ผิวแพ้ง่าย
4.หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อันตราย
สาเหตุที่ในเวลาเราเลือกพิจารณาเลือกซื่อเครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์กันแดดทั้งหลายนั้น จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องอ่านฉลาก ที่ระบุส่วนผสมต่างๆ ในตัวผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไม่เว้นแม้แต่ครีมกันแดดผู้หญิงไอเท็มนี้ด้วย
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพาราเบน สารที่เหมือนเป็นตัวช่วยให้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์สามารถอยู่ได้นาน หรือเป็นสารกันเสียนั่นเอง แต่ลงลึกแล้วนอกจากจะก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายแล้วนั้น
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของพาราเบนนั้น จะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนของผู้หญิง รวมถึงฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ที่เป็นฮอร์โมนของผู้ชาย ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียโดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ตั้งท้องอยู่ ซึ่งส่วนผสมที่เราควรจะหลีกเลี่ยงที่จะนำมาใช้เป็นครีมกันแดดก็คือ
- พาราเบน
- แอลกอฮอล์
- กลิ่นสังเคราะห์
5.กันน้ำ
เราจะเห็นคุณสมบัติของครีมกันแดดที่ขาดไม่ได้เลย นอกจากการระบุค่า SPF และ PA แล้วนั้น คือคุณสมบัติในการกันน้ำร่วมด้วย ทั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่า เราจะต้องใช้ครีมกันแดดหลอดนั้น ในการไปเที่ยวทะเลเท่านั้น เพื่อสำหรับการลงเล่นน้ำ และครีมไม่เลอะ สามารถป้องกันแดดให้เราได้ตลอดการเล่นน้ำทะเล แต่หมายถึงการป้องกันเหงื่อ และช่วยให้หน้าไม่หมองคล้ำตลอดทั้งวัน
ซึ่งคุณสมบัติการกันน้ำนั้น เราก็ควรจะดูให้ละเอียดอีกว่า มีประสิทธิภาพในการกันน้ำได้มากน้อยแค่ไหน โดยเนื้อครีมกันแดดส่วนใหญ่ที่ทำออกมานั้น จะเน้นในเรื่องของเนื้อครีมบางเบา และสามารถที่จะกันแดดแรงๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นรังสียูวีเอ และรังสียูวีบี แต่หากเราต้องการที่จะเน้นในเรื่องของเนื้อครีมที่ช่วยในการกันน้ำด้วยแล้วนั้น ควรที่จะดูในระดับการแบ่งดังนี้คือ
- Water Resistant กันน้ำได้ 40 นาที
- Very Water Resistant กันน้ำได้ 80 นาที
รีวิวกันแดดสำหรับ ‘ผิวมัน’ หน้ามัน
สรุป
เราคงจะได้รับรู้กับความอันตรายของทั้งรังสี UVA และรังสี UVB กันแล้วว่า สามารถทำลายผิวหน้าของเราได้มาก อีกทั้งหากเราปล่อยให้ผิวหน้าเราโดนทำลานแล้ว การที่จะกู้สภาพผิวหน้าให้กลับคืนมาเหมือนเดิม นอกจากจะใช้เวลาที่นานแล้ว ในบางครั้งอาจไม่สามารถที่จะมีสภาพผิวหน้าได้เหมือนเดิมอีกด้วย
ดังนั้นการเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อครีม ที่เหมาะกับสภาพผิวหน้าของเราเอง และมีคุณสมบัติในเรื่องการกันน้ำได้ดี อีกทั้งยังมีให้เลือกกับค่าป้องกัน SPF ที่สูงเพียงพอที่จะช่วยป้องกันแดดที่แรงได้ เป็นครีมกันแดดสำหรับผู้หญิง ที่เมื่อทาแล้วไม่เป็นคราบ เพราะหากเราไม่ป้องกันตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้อาจจะสายเกินไป ที่จะกู้ผิวหน้าคืนกลับมาให้เหมือนเดิมได้
นามปากกา เถาองุ่น การศึกษาจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นนักรีวิวผลิตภัณฑ์ด้านการบำรุงผิวโดยเฉพาะ ทั้งผิวกาย ผิวหน้า ความงาม และเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายมาแล้วหลายยี่ห้อ
ครีมกันแดดผู้หญิง Banana Boat
-เหมาะสำหรับกีฬาทุกชนิด ปกป้องทั้งรังสียูวีเอและยูวีบี
-เนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่อุดตันรูขุมขน กันน้ำได้ดีเยี่ยม
ครีมกันแดดผู้หญิง NIVEA
-สูตร Non-Comedogenic เหมาะสำหรับสาวแต่งหน้า
-ช่วยปกป้องทั้งรังสี UVB, UVA2 และ UVA1 SPF50+
ครีมกันแดดผู้หญิง MIZUMI
-เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย เบาสบายผิว ลดการอุดตัน
-สูตรเนื้อเซรั่มซึมไว เกลี่ยง่ายไม่เป็นคราบ ออกแดดได้ทันที
ครีมกันแดดผู้หญิง ANESSA
-สูตรน้ำนม เนื้อบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ กันเหงื่อ
-ใช้เป็นเมคอัพเบสช่วยให้การแต่งหน้าเนียนเรียบติดทนนาน
ครีมกันแดดผู้หญิง BIORE
-ปริมาณสุทธิของสินค้า 85 กรัม SPF50+ PA++++
-สามารถทาทับเมคอัพได้ระหว่างวัน ไม่เหนียวเหนอะหนะ
ครีมกันแดดผู้หญิง KA
-สูตร Oil Free ปราศจากความมัน ไม่เหนียวเหนอะหนะ
-เหมาะสำหรับผู้ที่แต่งหน้าเป็นประจำใช้ทาแทนรองพื้นได้
ครีมกันแดดผู้หญิง Vaseline
-ช่วยล็อคความชุ่มชื้นปกป้องผิวจากความแห้งกร้าน
-สูตรบางเบา ซึมซาบเร็ว สัมผัสเย็นสดชื่น
ครีมกันแดดผู้หญิง Provamed
-เนื้อบางเบา มีประสิทธิภาพการป้องกันน้ำยาวนานขึ้น
-สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด
ครีมกันแดดผู้หญิง Dr.Pong
-สูตรอ่อนโยน เนื้อสัมผัสบางเบา ทาง่าย ไม่มัน ไม่เยิ้ม
-เหมาะสำหรับผิวเป็นสิวและผิวแพ้ง่าย ลดการระคายเคือง
ครีมกันแดดผู้หญิง Eucerin
-เนื้อดรายทัช บางเบา คุมมัน 12 ชั่วโมง ซึมเร็ว ไม่ทิ้งคราบ
-สำหรับผิวมันเป็นสิวง่าย กันน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ