เครื่องดูดความชื้นที่ใช้ในบ้านอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม ห้องปิดที่ไม่มีอากาศถ่ายเท ไม่ค่อยได้รับแสง จะช่วยทำให้อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวก ลดการเกิดเชื้อราในสินค้าได้ รวมถึงป้องกันการเกิดสนิมกับเครื่องจักร และป้องกันเชื้อโรคได้อย่างดี
เป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มาแรง ยิ่งในหน้าฝนแบบนี้ หรือยิ่งช่วงมีความชื้นภายในบ้านของเรา ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดเชื้อราตามเพดาน บนเฟอร์นิเจอร์ ผนังบ้าน และของใช้ต่าง ๆ แถมทำให้เสื้อผ้าของเราไม่แห้งด้วย
เครื่องดูดความชื้นคืออะไร
คือ เครื่องลดความชื้นจะมีลักษณะการทำงานที่คล้ายกับเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะช่วยในการลดความชื้น และ ดูดความชื้นจากแผงคอยล์เย็น ทำหน้าที่ให้ความชื้นในอากาศและกลายเป็นหยดน้ำ ปล่อยอากาศร้อนหรืออากาศแห้งเข้ามาแทนที่ ซึ่งความชื้นนั้นจะมาอยู่ในรูปแบบของหยดน้ำและถูกระบายน้ำทิ้
เครื่องดูดความชื้นมีกี่ประเภท
1.แบบไฮบริด
สามารถฟอกอากาศและเพิ่มอุณหภูมิในห้องได้ สามารถใช้ได้กับทุกห้องของคุณ แต่มักจะมีราคาแพง โดยทั่วไปสามารถดูดความชื้นในห้องขนาดกลางได้ดี ไม่ได้มีไว้เพื่อดูดความชื้นทั่วทั้งบ้าน
2.แบบเซมิคอนดักเตอร์
สามารถใช้งานง่าย มีขนาดค่อนข้างเล็ก ปราศจากเสียงรบกวนเวลาเปิดใช้งาน ช่วยให้คุณสะดวกเหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น ห้องนอน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในห้องนอนเด็กเล็กได้ เครื่องใช้งานได้ดีแม้ในพื้นที่แคบ แต่ก็มีข้อด้อยคือ หากคุณวางเครื่องผิดพื้นที่ หรือ วางในห้องที่ใหญ่ ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร
3.แบบคอมเพรสเซอร์
จะทำงานในลักษณะเดียวกับตู้เย็นในบ้านคุณ ด้วยกลไกการทำงานคือใช้อากาศร้อนและดูดความชื้นเข้าเครื่องทำให้อากาศเย็นลง มีข้อเสียคือจะมีขนาดใหญ่กว่าแบบประเภทอื่น ๆ มีเสียงการทำงานของคอมเพรสเซอร์และพัดลมดัง คล้ายกับเครื่องปรับอากาศ ความชื้นกลั่นตัว เกิดหยดน้ำ จากนั้นหยดน้ำจะไหลเข้าสู่ถังซึ่งต้องเททิ้ง
หลักการทำงานของเครื่องดูดความชื้น
คือ มีลักษณะการทำงานคล้ายกับเครื่องปรับอากาศ ช่วยในการดูดความชื้นจากอากาศผ่านแผงคอยล์เย็น ซึ่งทำหน้าที่ให้ความชื้นในอากาศกลายเป็นหยดน้ำ และปล่อยอากาศร้อน หรือ อากาศแห้งเข้าแทนที่ ซึ่งความชื้นที่อยู่ในรูปแบบของหยดน้ำจะถูกปล่อยทิ้งไปตามท่อน้ำทิ้ง
เมื่อไหร่ถึงต้องใช้เครื่องดูดความชื้น
1.เมื่อห้องมีอากาศชื้นแฉะ
ห้องที่มีอากาศชื้นเกินไปและมีกลิ่นเหม็นอับ แสดงว่ามีระดับความชื้นในอากาศค่อนข้างสูง กรณีนี้ให้เปิดเครื่องเพื่อปรับระดับความชื้นสัมพัทธ์ในห้องให้กลับเป็นปกติ แต่ถ้ามือแตะแล้วผนังยังเปียกชื้น หรือ สังเกตุเห็นมีราขึ้น ให้เปิดเครื่องเป็นประจำ
ข้อสังเกตุเมื่อคุณต้องเปิดเครื่องดูดความชื้น
**คือ เมื่อหน้าต่างมีคราบไอน้ำจับมองเห็นคราบเชื้อรา หรือ เห็นรอยชื้นตามผนัง หรือ บนเพดาน
2.ใช้ในหน้าร้อน
ในหน้าร้อน หรือ ช่วงอากาศร้อนชื้น ส่วนใหญ่จะมีอากาศที่ชื้นแฉะจนทำให้ตัวเหนียวเหนอะหนะ แบบนี้ให้เปิดเครื่องได้เลย จะช่วยปรับระดับความชื้นสัมพัทธ์ในบ้านให้เหมาะสม
**โดยสามารถใช้ควบคู่ไปกับเครื่องปรับอากาศได้ เพราะจะทำให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้อุณหภูมิในห้องเย็นสบาย แถมยังช่วยประหยัดค่าไฟได้ด้วย
3.ใช้สำหรับการแก้ปัญหาสุขภาพ
สำหรับคนที่เป็นโรคหอบหืด ภูมิแพ้ หรือ เป็นหวัดคัดจมูก จะช่วยได้มาก เพราะจะทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น ไซนัสโล่ง บรรเทาอาการเป็นหวัดคัดจมูกได้ดี
**โดยรักษาระดับความชื้นภายในห้องให้อยู่ในช่วง 40%-60% จะช่วยบรรเทาโรคระบบทางเดินหายใจ เพราะมันจะลดจำนวนของเชื้อในอากาศ
4.ใช้สำหรับอากาศหนาว
เครื่องดูดความชื้นส่วนใหญ่ เช่น แบบใช้คอมเพรสเซอร์ จะทำงานได้ไม่เต็มที่เวลาอุณหภูมิต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียส ยิ่งอากาศหนาวเท่าไหร่ น้ำแข็งก็ยิ่งเกาะคอยล์ของเครื่องง่ายขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
**ตัวอย่างเครื่องแบบใช้สารดูดความชื้น Desiccant Dehumidifier ก็เหมาะจะใช้เวลาอากาศหนาว แนะนำให้ใช้เครื่องที่ทำงานได้ดีเวลาอุณหภูมิต่ำ
5.ตำแหน่งการจัดวางในห้อง
5.1 ตำแหน่งอากาศต้องถ่ายเทสะดวก
ยิ่งอากาศถ่ายเทสะดวก เครื่องยิ่งทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ระยะเว้นที่ให้อากาศถ่ายเทรอบเครื่องทุกด้านประมาณ 15-30 ซม.
5.2 ระวังเรื่องสายระบายน้ำ
การระบายน้ำจากเครื่องผ่านสายยาง ต้องให้ท่อต่อลงอ่างล้างจาน หรืออ่างอาบน้ำ อย่าให้เอียงไปทางอื่น หมั่นเช็คสายไม่เขยื้อน แนะน้ำยังไหลลงอ่างได้ดี และระวังอย่าให้สายระบายน้ำอยู่ใกล้ปลั๊กไฟ ป้องกันไฟดูดหรือลัดวงจร
5.3 อย่าวางบริเวณที่มีฝุ่นเยอะ
ให้ตั้งเครื่องห่างจากจุดที่ฝุ่นฟุ้ง หรือสิ่งสกปรกเยอะ
6.ตั้งเครื่องในห้องที่ชื้นที่สุด
ห้องที่มีความชื้นแฉะเป็นประจำ เช่น ห้องน้ำ ห้องซักล้าง ห้องใต้ดิน
7.ตั้งเครื่องในระบบ HVAC
สำหรับเครื่องขนาดใหญ่ จะเน้นเชื่อมต่อกับระบบ HVAC จะมาพร้อมท่อต่อและชุดอุปกรณ์ติดตั้งอื่น ๆ ที่จำเป็น เราแนะนำให้ปรึกษาและใช้บริการที่ร้านที่คุณซื้อเครื่องมาโดยตรง
8.ตั้ง 1 เครื่องต่อ 1 ห้อง
เครื่องจพทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ควรตั้งไว้ 1 เครื่องต่อ 1 ห้อง และปิดหน้าต่างและประตูไว้ หรือจะติดตั้งกึ่งกลางระหว่างสองห้องก็ได้ แต่การทำงานจะลดประสิทธิภาพลง
9.ควรตั้งกลางห้อง
การเลือกซื้อเครื่องดูดความชื้น
1.เลือกให้ตรงกับความต้องการ
โดยเลือกขนาดเครื่องโดยพิจารณาจากพื้นที่ห้องเป็นตารางฟุต ว่าจะต้องใช้เครื่องขนาดใด ก็จะขึ้นอยู่กับความกว้างของห้องที่จะติดตั้ง โดยให้เลือกห้องหลักที่จะติดตั้ง จากนั้นวัดพื้นที่ห้องเป็นตารางฟุต และเอาไปอ้างอิงเลือกในขนาดที่เหมาะสม
2.ความจุต้องเหมาะสม
ลำดับต่อมาคือการคำนึงถึงระดับความชื้นภายในห้องนั้น โดยวัดเป็นปริมาณ pints (1 pint ประมาณ 0.5 ลิตร) ของน้ำที่ได้จากบรรยากาศในห้องภายใน 24 ชั่วโมง ผลที่ได้จะเป็นตัวกำหนดว่าห้องนั้นมีความชื้นเท่าไหร่
- ตัวอย่างห้องขนาด 500 ตารางฟุต หรือ ประมาณ 45 ตรม. มีสภาพอากาศที่อับชื้น อากาศชื้นแฉะ ก็จะต้องใช้เครื่องขนาดประมาณ 40-45 pints หรือประมาณ 19-21 ลิตร
- เครื่องดูดความชื้นสามารถจุน้ำได้ถึง 44 pints ประมาณ 20 ลิตร ด้วยกันใน 24 ชั่วโมง ในห้องกว้างได้มากถึง 2500 ตารางฟุต หรือ ประมาณ 230 ตรม..
3.เลือกจากคุณสมบัติที่ต้องการ
ในปัจจุบันนี้ จะมีหลากหลายฟังก์ชัน และ Setting ให้เลือกสรร เครื่องยิ่งแพงยิ่งมีหลายตัวเลือกในการใช้งาน แต่ฟีเจอร์หรือฟังก์ชันหลัก ๆ ที่พบบ่อยเช่น
Adjustable Humidistat
เป็นฟีเจอร์สำหรับควบคุมระดับความชื้นในห้อง สามารถตั้ง Humidistat ได้ตามระดับความชื้นสัมพันธ์ที่ต้องการ เมื่อถึงระดับที่ต้องการแล้วเครื่องจะตัดเองโดยอัตโนมัติ
Built-in Hygrometer
เป็นอุปกรณ์ใช้วัดระดับความชื้นในห้อง
Automatic Shut off
ส่วนใหญ่จะตัดอัตโนมัติด้วยตัวเอง เวลาปรับระดับความชื้นในห้องได้ตามต้องการแล้ว หรือ เมื่อถาดใส่น้ำของเครื่องเต็ม
Automatic Defrost
กรณีเครื่องทำงานหนักเกินไป น้ำแข็งจะเกาะที่คอยล์ของเครื่อง จะเป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนต่าง ๆ ข้างใน กรณีมีตัวเลือก automatic defrost หรือละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ จะช่วยให้พัดลมในเครื่องทำงานละลายน้ำแข็งเอง
6.มีระบบน้ำทิ้งที่เป็นแบบคู่
กรณีที่ไม่ต้องการน้ำทิ้งด้วยตนเอง อยากแนะนำให้เลือกเครื่องที่มีการทำงานแบบระบบน้ำทิ้งคู่ จะมีทั้งสามารถต่อท่อปลายน้ำทิ้งเอง หรือ แบบเททิ้งปกติ กรณีซื้อเครื่องไม่สามารถต่อท่อหรือถอดออกเททิ้งเองได้ แนะนำเอาให้ตรวจสอบก่อนว่ามีที่จับเพื่อเทน้ำทิ้งได้สะดวกไหม
4.เลือกให้เหมาะกับห้อง
นอกจากเครื่องแล้ว ห้องที่จะนำเครื่องมาวางก็สำคัญ เพราะแต่ละรุ่น แต่ละขนาดจะมีความเหมาะสมต่อการใช้งาน กรณีเครื่องเล็กแต่ห้องใหญ่ก็จะทำงานหนักแบบที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ เราแนะนำขนาดห้อง 5-15 ตารางเมตร จะเหมาะกับความจุถุง 0.5-1.5 ลิตรหรือขนาดห้องที่ 20-40 ตารางเมตร ก็จะเหมาะกับความจุถังน้ำ 1.5-3 ลิตร
5.เลือกแบบชาร์จไฟฟ้าได้เพิ่มความสะดวกสบาย
ปัจจุบันมีเครื่องแบบไร้สาย เพียงแค่นำไปวางในพื้นที่ที่ต้องการให้ดูดความชื้นก็สามารถทำงานได้เลย โดยหลักการเครื่องจะมีสารที่ชื่อซิลิกกอนไดออกไซด์ หรือ ซิลิกา ดังนั้นเลือกแบบชาร์จไฟก็จะใช้งานได้สะดวกกว่า
คำถามที่พบบ่อย
เครื่องนี้ช่วยอะไร
ช่วยลดระดับความชื้น ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเชื้อราในบ้านของคุณ กำจัดกลิ่นเหม็นอับหรือกลิ่นเหม็นเน่า รวมถึงช่วยลดการระคายเคืองต่อผิวและระบบทางเดินหายใจ ช่วยให้คุณหายใจได้ง่ายขึ้นและรู้สึกสบายใจ
และสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นน้อยกว่าในบ้านของคุณ เสื้อผ้าจะแห้งเร็ว ขนมปังและซีเรียสจะยังคงสดใหม่ โดยไม่ทำให้เก่าและคุณจะไม่พบรอยสนิมหรือการกัดกร่อนในสิ่งต่าง ๆ และที่สำคัญเครื่องจะช่วยลดต้านทุนด้นพลังงาน เพราะช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จำเป็นไหม
มีความจำเป็นอย่างมาก จะช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราและแบคทีเรียที่ผนัง และทำให้เชื้อราที่เกาะอยู่ที่ผนังห้องหรือวอลเปเปอร์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ต่าง ๆ หลุดลอกออกได้ง่าย สามารถควบคุมความชื้นได้ตั้งแต่ 40-70% ลดความชื้นภายในห้องได้ 40 ลิตรต่อวัน
รีวิวเครื่องลดความชื้น LG PuriCare Dehumidifier
สรุป
เครื่องดูดความชื้นมีความสำคัญมาก และมีประโยชน์มากกว่าที่หลายคนคิด หากไม่มีอาจทำให้ส่งผลเสียหลายด้าน หากคุณกำลังมองหาเครื่องสักตัวลองอ่านเนื้อหานี้แล้วตัดสินใจเลือกเครื่องที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ
ควบคุมและดูแลการผลิตคอนเท้นส์ ชื่นชอบที่จะนำเสนอคอนเท้นส์ที่ดีๆ มีประโยชน์ให้กับท่านผู้อ่าน