วิตามินบำรุงผิวพรรณ
ในวันนี้ที่เราคงจะเห็นได้ชัดเจนมากว่า ธุรกิจของวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิว หรืออาหารเสริมบำรุงผิวนั้น มีการขยายตัวและแพร่หลายไปในทั่วโลกแล้วจริงๆ เราคงอาจจะมองว่า การดูแลผิวพรรณ หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการดูแลผิวให้มีสวยและมีความเรียบเนียน จะมีเพียงแค่กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ อย่างเช่น มอยเจอไรซ์เซอร์, ครีมบำรุงผิว หรือเซรั่มบำรุงผิว ที่ภายนอกเท่านั้น
แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีตัวอาหารเสริม หรือวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิวได้อีก ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มของวิตามินต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมาย, เกลือแร่, กรดไขมัน และน้ำมันปลา เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างของวิตามินบำรุงผิว ที่ช่วยฟื้นฟู และดูแลผิวพรรณของเราให้มีความเปล่งปลั่ง และผิวเนียนเด้ง ตัวอย่างคร่าวๆ ของอาหารเสริม หรือวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิว ที่มีส่วนในการช่วยดูแลผิวให้มีทั้งความขาวใส และเรียบนเนียน ได้แก่
- วิตามินอี ต่อต้านริ้วรอย และความเหี่ยวย่น ทำงานควบคุมสารที่เรียกว่า เรตินอล
- วิตามินซี ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น และสร้างคอลลาเจน รวมถึงซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลาย
- วิตามินเอ หรือในชื่อว่า เรตินอล ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ผิว และลดความเหี่ยวย่น
- โคเอนไซม์คิว 10 ออกฤทธิ์ในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ และป้องกันเซลล์ผิวถูกทำลาย
- น้ำมันปลา หรือกรดไขมันโอเมก้า 3 รักษาภูมิแพ้ผิวหนัง และป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง
- คอลลาเจน ต่อต้านริ้วรอยและลดเลือนความเหี่ยวย่น เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง
- ไบโอติน เน้นในเรื่องการสร้างความแข็งแรงให้กับเส้นผม, ผิวหนัง และเล็บ
- วิตามินรวม เป็นสารอาหารเสริม ที่รวมเอาวิตามินที่มีส่วนในการดูแลผิวมาไว้รวมกัน
- โปรไบโอติกส์ ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรีย และยีสต์ ช่วยลดการอักเสบผิวหนัง
ทั้งหมดสำหรับตัวอย่างโดยรวมคร่าวๆ นี้คือส่วนหนึ่งของอาหารเสริม หรือวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ที่ถือว่ามีความจำเป็นต่อ ผู้ที่มีการกินอาหารไม่ครบถ้วน หรือผู้ที่จำเป็นต้องควบคุมอาหาร จนทำให้ได้รับสารอาหารทางโภชนาการไม่ครบถ้วน ที่อาจจะส่งผลให้ได้รับสารอาหารที่ช่วยในการดูแลผิวไม่สมบูรณ์ หรือไม่เพียงพอก็ตาม
ซึ่งตามความความจริงแล้ว ส่วนของอาหารเสริมที่ช่วยในเรื่องการดูแลผิวพรรณนี้นั้น ไม่สามารถมาแทนที่สารอาหารหลัก ที่เราควรจะมีการกินให้ครบถ้วน หรือให้ถูกตามหลักโภชนาการ ดังนั้นเราจึงควรดูก่อนว่า การกินอาหารของเรานั้น มีการขาดสารอาหารตัวไหนบ้าง แล้วจึงค่อยเสริมสารอาหารตัวนั้นๆ ที่มีผลในการช่วยบำรุงและรักษาผิวร่วมด้วยอีกทาง
Grape seed
เป็นหนึ่งในวิตามินบำรุงผิวที่มีหน้าที่หลักในการทำงานร่วมกับคลอลาเจน ซึ่งช่วยในการกระตุ้นการทำงานของอิลาสติน หรือสารที่ช่วยในการสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว และถือว่าเป็นตัวหนี่งในการทำงานร่วมกับวิตามินซี ในเรื่องของการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว หรือสารเมลานิน ที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวมีความหมองคล้ำ เพื่อปรับเซลล์ผิวมีความขาวกระจ่างใสมากกว่าเดิม รวมถึงยังช่วยในการทำงานร่วมกับวิตามินซีในเรื่องของ การเกิดภูมิแพ้ร่วมด้วย
Q10
เราอาจจะเห็นครีมบำรุงผิวหน้าหลายตัว ที่มีการเติมสารโคเอนไซม์คิว 10 หรือ โคคิว 10 เข้าไปในตัวผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ซึ่งโดยหลักๆ แล้วจะมีคุณสมบัติในเรื่องของ การชะลอริ้วรอยของวัยที่เพิ่มมากขึ้น หรือช่วยในการลดเลือนริ้วรอยความเหี่ยวย่น รวมถึงการป้องกันการเกิดสารอนุมุลอิสระ ที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกับวิตามินซี และไลโคปีน
วิตามินซี
หากเราจัดเรียงลำดับวิตามินอี เป็นอันดับแรกของวิตามินบำรุงผิว วิตามินซีก็เรียกว่า เป็นอันดับที่ต่อกันมาเลยทีเดียว ที่ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการปรับสีผิวให้มีความกระจ่างใสขึ้น, สร้างคอลลาเจน หรือช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการต้านสารอนุมูลอิสระในแบบเดียวกับ ไลโคปีน และโคเอนไซม์คิว 10
ไลโคปีน
คุณสมบัติเด่นจะเน้นในเรื่องของการต่อต้าน และช่วยชะลอริ้วรอยแห่งวัย ในแบบเดียวกับ โคเอนไซม์คิว 10 ดังนั้นเราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า หากเป็นครีมบำรุงผิวหน้า จะต้องมีทั้งไลโคปีน และโคเอนไซม์คิว 10 ควบคู่กัน อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการต้านสารอนุมูลอิสระร่วมกันไปด้วย
วิตามินบี
วิตามินบี 3 หรือ Niacinamide มีการทำงานที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และลดริ้วรอยความเหี่ยวย่น และช่วยปรับผิวให้มีความเรียบเนียน ส่วนวิตามินบี 5 หรือ Pantothenic Acid นั้นเน้นในเรื่องการลดอาการผิวอักเสบ, อาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นกับผิว ปรับผิวที่แห้งกร้านให้เนียนนุ่ม โดยเฉพาะผิวแห้งที่ลอกเป็นขุย ที่ไม่เกิดเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้น ควรที่จะเน้นวิตามินตัวนี้เป็นพิเศษ
วิตามินอี
ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบำรุงผิวในแบบกิน หรือครีมบำรุงผิวก็ตาม เราจะเห็นส่วนประกอบหลักที่มีวิตามินอี ซึ่งรวมถึงวิตามินอี ในคุณสมบัติส่วนตัว เน้นทั้งการเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวดูเนียนเรียบ, ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ, ลดริ้วรอยที่เกิดจากวัย รวมถึงป้องกันการทำลายผิวที่เกิดจาก ความร้อนจากแสงแดด หรือรังสียูวี
วิตามินเอ หรือเรตินอล
วิตามินเอ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า เรตินอลนั้น หากใครที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เรามักจะเห็นส่วนประกอบที่เป็นวิตามินเอ ในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ทีเดียว แต่สำหรับในส่วนการกินเป็นวิตามินบำรุงผิวนั้น วิตามินเอก็ยังถือว่า เป็นส่วนสำคัญในการช่วยดูแลและฟื้นฟูผิวจากภายในออกสู่ภายนอก ไม่ว่าจะเป็น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อทดแทนที่สูญเสียไปตามวัย, การผลัดเซลล์ผิวใหม่, ช่วยลดเลือนรอยสิว หรือจุดด่างดำ และต่อต้านสารอนุมูลอิสระ
วิตามินเอ หรือเรตินอลนั้น เน้นในเรื่องสร้างสีผิวขาวใสมากขึ้น รวมถึงการลดรอยเหี่ยวย่นจากการโดนความร้อนจากแสงแดดร่วมด้วย รวมถึงวิตามินเอยังช่วยในการลดริ้วรอย ที่เกิดจากวัยที่เพิ่มมากขึ้น หรือ เป็นส่วนประกอบหนี่งในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ที่ช่วยในเรื่องของ Anti-aging ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับ โคเอนไซม์คิว 10 อีกด้วย
วิตามินบำรุงผิว คืออะไร
คือ อาหารเสริมหลากหลายชนิด ที่มีทั้งเป็นวิตามินที่ช่วยดูแลผิวพรรณ และสารอาหารเสริมตัวอื่นๆ ที่เน้นในเรื่องการดูแล, บำรุง, ซ่อมแซม และป้องกันผิวหนัง ซึ่งก่อนอื่นเราอาจจะต้องเน้นในเรื่องการโภชนาการหลักให้ครบถ้วนก่อน แล้วจึงค่อยเสริมวิตามินในการดูแลผิวเพิ่มขึ้น หากเห็นว่าเราขาดตัวไหนบ้าง
หากพูดถึงแล้วในทุกวันนี้ ด้วยความรีบเร่งและประกอบกัน สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราเต็มไปด้วย สารมลพิษทั้งฝุ่นละออง, ความร้อนจากแสงแดด รวมถึงอายุที่อาจทำให้เซลล์ผิวหนังของเราค่อยๆ เสื่อมสภาพลงไป ซึ่งมองเห็นได้จาก ความเหี่ยวย่น และริ้วรอยต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธอาหารเสริม หรือวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิวได้
วิตามินบำรุงผิว กินยังไง
นอกจากส่วนที่ดีและเป็นประโยชน์ของวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิวแล้ว เรายังอาจจะต้องใส่ใจในเรื่องการการกินว่า ควรจะเน้นการกินในช่วงเวลาไหน และความสำคัญของการกินก่อนมื้อหรือหลังอาหารดีที่สุด เพราะสิ่งเหล่านี้นั้นจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ วิตามินที่เรากินเข้าไปออกฤทธิ์ในการช่วยดูแลผิวขาวใส, เปล่งปลั่ง, และช่วยให้ผิวเนียนเด้ง อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1.กินช่วงเช้า
ส่วนใหญ่แล้วมื้ออาหารเช้า หรือช่วงเช้าจะถือว่าเป็นมื้อหลัก ที่ต้องมีในจำนวนมื้อที่เราต้องกินวิตามินที่ช่วยบำรุงผิว เพราะถือว่าเป็นมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ ไม่เพียงแค่ส่วนของอาหารเช้าเท่านั้น ที่เรามีการเน้นว่า ควรที่จะกินอาหารเช้าในทุกวัน แต่การกินวิตามินก็จะมีการเน้นหลักที่มื้อเช้าร่วมด้วย
ซึ่งมีทั้งวิตามินที่กิน 1 เม็ดต่อวัน และวิตามินบำรุงผิวอีกหลายตัว ที่จำเป็นต้องกินมากกว่า 1 เม็ดต่อวัน และเราจะสังเกตได้ว่า มื้อหนึ่งที่สำคัญและเป็นมื้อหลักคือ มื้อเช้าที่จำเป็นต้องมีอยู่ในช่วงเวลาที่กินวิตามินกลุ่มนี้ เพื่อช่วยเสริมการทำงานของอาหารเผิวที่เรากิน ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานช่วยให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น
2.เวลาในการกิน
เราสามารถแบ่งวิตามินได้ตามเวลาของรอบมื้ออาหาร แต่ส่วนที่สำคัญคือ เวลาก่อน, หลัง หรือกินพร้อมกับมื้ออาหาร ที่มีการแยกไว้สำหรับในแต่ละวิตามินหรืออาหารเสริมบำรุงผิว
ลำดับในการกิน/มื้ออาหาร | วิตามิน |
ก่อนอาหาร | กรดอะมิโน และสังกะสี |
หลังอาหารหรือพร้อมอาหาร | เอ, ดี,ซี, บี, อี, เค, แคลเซียม, คิว 10, น้ำมันปลา |
กินเมื้อไหร่ก็ได้ | Grapeseed และเปลือกสน |
3.เน้นน้ำเป็นส่วนสำคัญ
ในการกินวิตามินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินตัวไหน หรืออาหารเสริมสำหรับผิวชนิดไหนก็ตาม เราควรที่จะกินน้ำตามมากๆ โดยเฉพาะตัววิตามินที่ละลายในน้ำได้อย่าง วิตามินซีและบี ซี่งหากมีการกินวิตามินเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ จะเป็นผลดีในการขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดสารสะสมในร่างกายในอนาคต
ประโยชน์ของวิตามินบำรุงผิวที่ดี
วิตามินที่กินเพื่อช่วยในการบำรุงผิว หรืออาหารผิวนั้นเน้นในเรื่องการบำรุง, ฟื้นฟู และรักษาผิวที่มีปัญหาในด้านต่างๆ ให้กลับสู่สภาพดียิ่งขึ้น ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับผลิตภัณฑ์สกินแคร์ อย่างเช่น เจลว่านหางจระเข้ , ครีมกระชับรูขุมขน , คลีนซิ่งออย , น้ำแร่ฉีดหน้า , คอลลาเจน , ครีมบำรุงผิวหน้า , มาร์คใต้ตา , เครื่องดูดสิว , สบู่ล้างหน้า , ครีมกันแดดผู้หญิง แตกต่างกันที่ใช้ทา กับการกินบำรุงเข้าฟื้นฟูภายในร่างกาย ซึ่งเราสามารถใช้ควบคู่กันได้
ผิวขาวใส
วิตามินและอาหารเสริมผิวที่ช่วยในเรื่อง การปรับสีผิวขาวใส ให้มีความกระจ่าง หรือที่เราหลายคนเรียกกันว่า ผิวมีออร่านั่นเองก็คือ วิตามินซี ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่า และช่วยในการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา อีกทั้งยังช่วยในเรื่องการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว หรือสารที่เรียกว่า เมลานิน ที่จะทำให้ผิวมีความหมองคล้ำ หรือสีผิวเข้มขึ้นเมื่อต้องโดนแสงแดด
ส่วนวิตามินบี 3 นั้นถึงแม้อาจจะไม่ได้มีส่วนในการสร้างผิวขาวใส โดยตรงก็ตามแต่มีส่วนในการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ หากมีการกินร่วมกัน ก็จะเป็นการทำงานที่เสริมกันในเรื่องช่วยให้ผิวขาวกระจ่างอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนอกจากนั้นวิตามินบี 3 นั้นยังช่วยในเรื่องความชุ่มชื้น และการเพิ่มคอลลาเจนและอิลาสติน หรือความยืดหยุ่นให้กับผิว เพื่อให้ผิวเนียนเด้งและเปล่งปลั่ง เป็นของแถมอีกด้วย
เด้ง เปล่งปลั่ง
การที่ผิวจะมีความเด้ง หรือเปล่งปลั่งได้นั้น ต้องขึ้นอยู่กับปริมาณของคลอลาเจน และอิลาสตินเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับใต้ผิวหนัง วิตามินอี ช่วยในการสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว และยังช่วยให้ผิวมีความเนียนเด้ง, ฟื้นฟูผิวที่มีความแห้งกร้านให้มีความเปล่งปลั่งขึ้นได้ อีกทั้งผลพลอยได้คือ วิตามินอีตัวนี้ยังช่วยในการป้องกันสารก่ออนุมูลอิสระ หรือสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย
ส่วนคอลลาเจนและกรดอะมิโน มีส่วนช่วยในการเติมความยืดหยุ่นให้กับผิวโดยตรง ซี่งจะทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และป้องกันความเหี่ยวย่นในวัยที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เมื่อเรามีการเติมคลอลาเจนและสารอิลาสตินมากขึ้น ก็เหมือนการเติมความยืดหยุ่นให้กับเซลล์ผิวหนังด้านใน ให้เปล่งปลั่งและมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิม
ผิวเรียบเนียน
เราอาจจะไม่ต้องแปลกใจกับวิตามินอี ในการบำรุงผิว ที่ถือว่าเป็นตัวเด่นที่มีคุณสมบัติหลากหลาย สำหรับการดูแลผิว และช่วยให้ผิวเรียบเนียน อีกทั้งยังมีคุณสมบัติอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการให้ความชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวเด้งเปล่งปลั่งได้อีก ดังนั้นวิตามินในการช่วยดูแลผิวหลายตัว ที่เป็นวิตามินรวมจึงมีส่วนประกอบของวิตามินอีตัวนี้เข้าไปด้วย และมีวิตามินบี 3 ที่ช่วยในเรื่องการปรับผิวให้มีความกระชับ, ชุ่มชื้นและเรียเนียนเหมือนกับวิตามินอี
รูขุมขนเล็กลง
วิตามินที่เน้นในเรื่องของการกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ได้แก่ 2 ตัวหลักๆ คือ วิตามินบี 3 หรือเราเรียกกันอีกชื่อว่าNiacinamide และวิตามินอี ไอคอนของวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิว ซึ่งจะช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง และในส่วนของ วิตามินบี 3 นั้นยังช่วยในเรื่องลดการสร้างเม็ดสีผิว หรือลดการทำงานของสารเมลานิน และลดจุดด่างดำที่กล่าวมาในคุณสมบัติของ ผิวขาวใสที่ทำงานร่วมกับวิตามินซีอีกด้วย
แนะนำวิธีเลือกซื้อวิตามินบำรุงผิว
1.เลือกตามสภาพปัญหาผิว
ซึ่งเราสามารถเลือกกินได้ตามสภาพปัญหาของผิว อย่างเช่น ผิวมีความหมองคล้ำ ที่อาจเกิดจากการโดนความร้อนจากแสงแดด การเลือกกินวิตามินซี ที่จะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่า และช่วยในการสร้างความกระจ่างใสให้กับผิว หรือต้องการเน้นในเรื่องการป้องกันสารอนุมูลอิสระ และการเกิดริ้วรอยจากวัยที่เพิ่มมากขึ้นนั้น ควรที่เน้นเลือกสารไลโคปีน และโคเอนไซม์คิว 10 ที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านนี้โดยเฉพาะ
2.เลือกตามปริมาณที่ควรกินต่อวัน
ในส่วนของวิตามินที่ละลายในไขมัน อย่างเช่น วิตามินเอ, วิตามินดี, วิตามินอี และวิตามินเค นั้น ที่เราควรระวังในการกินต่อวัน ที่อาจจะต้องควบคุมปริมาณที่พอเหมะ อย่างเช่น วิตามิน เอ ที่ควรเน้นการกิน 600 ไมโครกรัมต่อวัน หรือในกรณีของผู้หญิงที่ตั้งท้องอยู่ ควรเน้นเพิ่มมากขึ้นอีก 200 ไมโครกรัมต่อวัน
โดยเฉพาะส่วนของวิตามินซี ที่ถึงแม้จะละลายในน้ำ ที่จะขับออกมาทางปัสสาวะ หากเรามีการกินที่เกินปริมาณที่ร่างกายต้องการก็ตาม ก็ควรที่จะกินในปริมาณอย่างน้อยคือ 1,000 ไมโครกรัมต่อวัน ที่อาจจะแบ่งเป็นมื้อเช้า และมื้อเย็น เพื่อที่จะครอบคลุมการทำงานของตัววิตามินได้ตลอดทั้งวัน
3.เลือกดูวันหมดอายุ
ซึ่งในการเลือกซื้อทั้งยารักษาโรค, วิตามินต่างๆ และวิตามินบำรุงผิวร่วมด้วย สิ่งสำคัญที่สุดไม่ควรที่จะมองข้ามกันเลยคือ การสังเกตและดูรายละเอียดในเรื่องของวันหมดอายุของตัววิตามิน ซึ่งเราอาจจะคิดว่า ส่วนใหญ่ที่เคยซื้อมาก็มีอายุที่สามารถกินได้นาน และส่วนใหญ่ก็จะกินหมดก่อนวันหมดอายุ จนทำให้เราหลายคนไม่ค่อยได้สังเกตวันหมดอายุสักเท่าไหร่
ซึ่งตรงนี้มีส่วนอย่างมาก เพราะในวันที่เราซื้อนั้นอาจจะยังไม่หมดอายุ แต่ด้วยบางคนอาจจะมีการซื้อตุนเก็บไว้, มีระยะในการกินที่นาน หรือซื้อเป็นขวดใหญ่มีจำนวนหลายเม็ด ที่ต้องใช้เวลาหลายเดือนในการกินจนหมดขวด ทั้งหมดนี้อาจะทำให้วิตามินหมดอายุโดยที่เราคิดไม่ถึง ซึ่งตัวอักษรย่อในการระบุวันหมดอายุ หรือวันที่ในการผลิตก็ตาม คือ
- EXP: Expiry Date วันหมดอายุตามที่ระบุไว้
- EXD:Expiration Date วันหมดอายุตามที่ระบุไว้
- MFG:Manufacturing Date วันที่ระบุไว้เป็นวันผลิตสินค้านั้น
- MFD:Manufactured Date วันที่ระบุไว้เป็นวันผลิตสินค้านั้น
- BB:Best Before ควรกินก่อนวันที่ระบุไว้
- BBE:Best Before End ควรกินก่อนวันที่ระบุไว้
ซึ่งทั้ง Best Before, Best Before End, Expiry Date หรือ Expiration Date นั้นจะไม่มีปัญหาคือ เราสามารถกินวิตามินตัวนั้นๆ ได้ถึงวันที่ระบุ แต่หากเป็น Manufacturing Date หรือ Manufactured Date มีความหมายเพียงแค่ วันผลิตวิตามินบำรุงผิวเพียงเท่านั้น ซึ่งหากเราไม่เปิดซีลขวด หรือเปิดกินสามารถที่จะเก็บกินได้ในระยะเวลา 2-3 ปี หรือมีอายุไม่เกิน 5 ปี ซึ่งแตกต่างจากที่กำหนดวันหมดอายุ เราจะเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วจะครอบคลุมเพียงแค่ 1-2 ปี
คำถามที่พบบ่อยของวิตามินบำรุงผิว
ผิวหน้าแห้งมากขาดวิตามินอะไร
วิตามินดี
ถึงแม้ว่าวิตามินดีนี้ ร่างกายของเราจะสังเคราะห์ได้เอง และยังทำงานร่วมกันกับแคลเซียม ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถนำแคลเซียมไปใช้ได้เมื่อเราได้รับแสงตอนเช้า แต่ในอีกทางหนึ่งวิตามินดีตัวนี้ ก็สามารถช่วยในเรื่องการรักษาผิวหนังที่มีความแห้ง และแตกลอกเป็นขุยได้อีกด้วย โดยเฉพาะผิวแห้งที่ไม่ได้เกิดจากอากาศหรืออุณหภูมิที่เย็นเท่านั้น แต่จะมีลักษณะผิวตัว, มือและปากลอกเป็นขุยตลอดทั้งปี ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิตได้
วิตามินอี
เราอาจจะเคยได้ยินแล้วว่า วิตามินอี ถือว่าเป็นวิตามินที่มีผลในการดูแลผิวพรรณโดยตรง ด้วยการเน้นการบำรุงและสร้างความชุ่มชื้น เพื่อให้ผิวเนียนและดูไม่แห้ง อีกทั้งยังช่วยในการลดรอยเหี่ยวย่นและลดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี
วิตามินบี
วิตามินบี 5 หรือบีรวมนั้น นอกจากสามารถช่วยในเรื่องช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณแล้วนั้น ยังช่วยรักษาอาการริมฝีปากหรือมือที่ลอกเป็นขุยได้อีกด้วย โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวด้วยแล้ว อาการมือลอกปากลอกเป็นขุยนี้ ไม่สามารถให้หายได้เพียงแค่การหาโลชั่น หรือครีมบำรุงมาทาเพียงเท่านั้น เพราะอาจจะต้องพึ่งตัววิตามินบีรวมนี้ ในการปรับสภาพความสมดุล และเพิ่มการกักเก็บน้ำไว้ภายใต้ผิวอีกด้วย
สุดยอดวิตามินบำรุงผิว by หมอแอมป์
สรุป
ถึงแม้การบริโภคอาหารในแต่ละวัน เป็นเรื่องจำเป็นและเราควรพิจารณาเป็นเรื่องหลักก่อนว่า เน้นการกินอาหารให้ครบทุกหมู่ของอาหารก่อน แต่สำหรับในวันนี้ที่เราทุกคนต่างไม่มีเวลามากพอ ที่จะเลือกและจัดอาหารเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนกันได้ ประกอบกับเดี่ยวนี้ก็มีวิตามินบำรุงผิวที่ทำออกมาหลายตัว เน้นในเรื่องการเสริมทั้งการบำรุง, ดูแลและฟื้นฟูผิวให้มีสภาพที่แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยให้ผิวขาวใส, เรียบเนียน และดูมีชีวิตชีวาร่วมด้วย
อ้างอิง
Supplements for Healthy Skin : WebMD
Do You Need Supplements for Better Skin? Here’s What the Science Says : healthline
เจ้าของร้านขายยาโดยเภสัชกรชั้นนำหลายสาขา ขายดีจ่ายยาแล้วคนไข้หายจนเป็นที่ยอมรับ การศึกษาปริญญาตรีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทจากประเทศออสเตรเลีย มีความรู้ และประสบการณ์เกี่ยวกับ สุขภาพ อาหารเสริม ตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์ ประสบการณ์ยาวนานมากกว่า 10 ปี
วิตามินบำรุงผิว VISTRA
-ช่วยให้ผิวสว่างกระจ่างใสและยับยั้งการสร้างเม็ลสีผิวดำ
-ช่วยกำจัดสารพิษจากตับและป้องกันตับถูกทำลายจากแอลกอฮอล์
วิตามินบำรุงผิว Amado
-แบบเม็ด ทานง่าย ขนาดพกพาสะดวก
-ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่แห้งกร้านเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
วิตามินบำรุงผิว SWISSE
-สูตรคุณภาพ ผลิตจากประเทศออสเตรเลีย
-ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบใต้ผิวหนัง
วิตามินบำรุงผิว JOA
-ช่วยปรับผิวให้แข็งแรง เปล่งปลั่ง อ่อนนุ่ม พร้อมสู้แดด
-ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย กักเก็บความชุ่มชื้น
วิตามินบำรุงผิว SMOOTH LIFE
-ช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางาม ไม่หลุดร่วงง่าย
-ช่วยบำรุงผิวให้สดใส เปล่งปลั่ง ดูอ่อนกว่าวัย
วิตามินบำรุงผิว Medileen
-ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญและการดูดซึม
-ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ลดริ้วรอยได้ถึงเกือบ 30 %
วิตามินบำรุงผิว IYON PLUS
-ช่วยในการปรับสีผิวให้แลดูสว่างกระจ่างใสขึ้น
-ช่วยซ่อมแซมผิวเสีย ป้องกันผิวถูกทำลายจากแสงแดด
วิตามินบำรุงผิว Good skin
-ช่วยฟื้นฟูผิวหน้า สิวฝ้า กระ ริ้วรอย ดูจางลง
-ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้ไม่ป่วยง่าย
วิตามินบำรุงผิว Armoni
-ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสและลดรอยหมองคล้ำใต้ตา
-ช่วยทำให้ผิวแข็งแรง ไม่แพ้ง่าย ป้องกันรังสียูวีจากแดด
วิตามินบำรุงผิว DHC
-ช่วยให้เส้นผม เล็บ กระดูก มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
-ช่วยให้ผิวขาวเรียบเนียน เปล่งประกาย กระจ่างใส