วิตามินบำรุงสายตาช่วยลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อมเหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ดวงตาตลอดทั้งวันเจอแสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือและคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ดวงตาสามารถใช้ไปได้อย่างยาวนาน ไม่เกิดโรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อมก่อนวัย ซึ่งตัวการที่จะทำลายดวงตาของเราคือ แสงสีฟ้า นั่นเอง ว่าแต่แสงสีฟ้าคืออะไร ทำไมต้องดูแลดวงตาด้วยการกินวิตามิน เรามาหาคำตอบกัน
สำหรับหมวดหมู่เพื่อสุขภาพที่เราคัดมา ได้แก่ เชือกกระโดด ,เก้าอี้โยก , เครื่องนวดเท้า , เทียนหอม , เครื่องดื่มชูกำลัง , เครื่องฟอกอากาศ , สปอร์ต บรา , ดัมเบล , ไบโอติน , วิตามินซี , ขิงผง , หมอนขนเป็ด
วิตามินบำรุงสายตา คืออะไร
คือวิตามินที่ช่วยบำรุงสายตา โดยมีส่วนประกอบที่สำคัญอย่าง
ลูทีน และ ซีแซนทีน ที่พบในจุดรับภาพที่จอประสาทตา เลนส์ตา ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อมได้
สังกะสี ที่ลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพของเม็ดสี ปกป้องจอประสาทตา
วิตามินซี ในการป้องกันโรคต้อหิน
วิตามินอี ในการต้านอนุมูลอิสระและชลอการเกิดต้อกระจก
ทองแดงในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเอมไซม์ต้านอนุมูลอิสระในดวงตา
โอเมก้า 3 ที่ช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง โดยจะทำให้ต่อมไขมันบริเวณเปลือกตาทำงานได้ดีขึ้น ต่อมชนิดนี้มีหน้าที่การผลิตไขมันมาเพื่อเคลือบชั้นของน้ำตาไว้ ป้องกันไม่ให้น้ำตาระเหยเร็วเกินไป เหมาะกับคนที่ต้องทำงานหน้าจอคอมตลอดเวลา
วิตามินบำรุงสายตามีอะไรบ้าง
1.วิตามินซี
มีการวิจัยพบว่าการทานวิตามินซีวันละ 490 มิลลิกรัมขึ้นไป จะช่วยชะลอความเสื่อมจากโรคต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อมได้ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อกระจกได้ถึง 45%
2.วิตามินเอ
แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอค่อนข้างสูง ได้แก่ผักใบเขียว ชะอม คะน้า ตำลึง ผักโขม ผักบุ้ง จะช่วยบำรุงสายตาในการทำงานของจอประสาทที่มีบทบาทสำคัญด้านการมองในที่มือ
3.วิตามินบี 2
ปกติคนเราควรได้รับวิตามินบีรวม ปริมาณ 1.1-1.3 มิลลิกรัม เป็นขนาดที่แนะนำให้กินต่อวัน ช่วยบำรุงสายตา เยื่อเมือกตาและม่านตา หากได้รับไม่เพียงพออาจเสี่ยงอาการตาไวต่อแสงได้
4.วิตามินอี
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีในเซลล์รับแสงที่จอประสาทตา ช่วยปกป้องดวงตาจากแสงแดด ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก ร่างกายควรได้รับไม่ควรเกิน 1000 ไมโครกรัมต่อวัน สามารถพบได้ในข้าวกล้อง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต
5.ลูทีน ซีแซนทีน
ลูทีน มีความสำคัญต่อดวงตามาก เพราะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาท โรคจอประสาทตาเสื่อม ชะลอการเกิดต้อกระจก เราสามารถหาลูทีนและซิแซนทีนได้จากผัก ผลไม้ ที่มีสีเขียวเข้ม และสีเหลือง เช่นผักคะน้า ปวยเล้ง ผักโขม ข้าวโพด
6.เบต้าแคโรทีน
ช่วยในการมองเห็นในที่มือ ลดความเสื่อมของเซลล์ลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก โดยเราสามารถรับเบต้าแคโรทีนได้จากฟักทอง แครอต มะละกอ หน่อไม้ฝรั่ง ผักบุ้ง ตำลึง แตงโม
7.สังกะสี
สารต้านอนุมูลอิสระมีส่วนช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา ให้เกิดความเสื่อมช้าลง แหล่งที่พบสังกะสีได้แก่ อาหารทะเล หอยนางรม หอยแมลงภู่ เนื้อสัตว์อย่างตับ และ ธัญพืช ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต
8.ซิลิเนียม
มีส่วนช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ พบได้ในหอยนางรม หอยลาย ตับไก่ เมล็ดทานตะวัน
9.โอเมก้า 3
มีบทบาทสำคัญในการรักษาภาวะตาแห้ง ช่วยให้คุณภาพของน้ำตาดีขึ้น บำรุงประสาทตา เราพบโอเมก้า 3 ได้ในปลาทะเล ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลากะพง ปลาซาร์ดีน และในผลไม้อย่าง กีวี เป็นต้น
แสงสีฟ้า คืออะไร
คือ แสงที่เรามองเห็นได้อยู่ทุกวัน เป็นหนึ่งในสามของแสงขาวจากแสงยูวี พลังงานสูงใกล้เคียงกับรังสีอัลตราไวโอเลต UV แสงสีฟ้าที่เป็นโทษมีความยาวคลื่นที่ 415-455 nm. ส่งผลเสียต่อจอประสาทตาได้หากรับในปริมาณที่มากเกินไป โดยอธิบายได้ดังนี้
แสงทั้งหมดมี 7 สี ได้แก่ สีม่วง สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสด สีแดง และแสงสีฟ้า หรือ น้ำเงิน โดยแต่ละสีมีความยาวคลื่นและพลังงานที่แตกต่างกัน โดยแสงที่เรามองเห็นได้อยู่ที่ช่วงความยาวคลื่นประมาณ 400-700 nm. ซึ่งแสงสีฟ้าอยู่ที่ช่วง 380-480 nm.
แสงสีฟ้ามาจากไหนบ้าง
แสงสีฟ้าเป็นหนึ่งในความยาวคลื่นประกอบกันเป็นแสงสีขาวที่เราเห็นอยู่ปกติ ซึ่งแสงที่มาจากดวงอาทิตย์ ถ้าเราเอาไปผ่านปริซึม หรือผ่านละอองน้ำในอากาศจะเห็นเป็นสีรุ้ง ซึ่งความยาวคลื่นของแสงเริ่มตั้งแต่ช่วงสีม่วง สีคราม สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสด สีแดง ซึ่งแสงสีฟ้าแสงจากคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์มือถือ รวมถึงแสงไฟนีออนตามบ้านเรือน
อันตรายจากแสงสีฟ้า
แสงสีฟ้าอันตรายและมีผลเสียโดยตรงกับดวงตา เพราะแสงสีฟ้าเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงสามารถทะลุผ่านเลนส์ตาและกระจกตาเข้าถึงจอประสาทตาได้ หากเรารับแสงสีฟ้าเป็นเวลานานจะส่งผลเสียดังนี้
- อาการตาแห้ง – อุปกรณ์ที่เราจ้องมองส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก ทำให้เราต้องจ้องมองมากกว่า
- อาการตาล้า – แสงสีฟ้าที่เราจ้องมองมีความสว่างมากทำให้ดวงตาต้องทำงานอย่างหนัก
- จอประสาทตาเสื่อม – เนื่องจากแสงสีฟ้าสามารถทะลุเข้าไป และทำลายเซลล์รับแสงในจอประสาทตา อาจเป็นปัจจัยสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นได้
แสงสีฟ้าก่อให้เกิดภาวะโรคใดบ้าง
1.อาการตาล้า ตาแห้ง
เกิดจากการจ้องจอคอมพิวเตอร์ที่มีรังสียูวี คลื่นแสงสีฟ้าที่มีความเข้มข้นสูงเป็นเวลานาน สร้างผลข้างเคียงให้เกิดการตาแดงร่วม หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะผิวกระจกตาอักเสบพร้อมกับรอยแผลบนกระจกตาได้ รวมถึงพื้นผิวกระจกตามีความขรุขระ ส่งผลให้เกิดความระคายเคืองแก่ดวงตา ทำให้ผู้ป่วยมีความลำบากในการมองเห็น
2.โรคจอประสาทตาเสื่อม
เกิดจากภาวะจอตามบวมและจุดภาพชัด รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้าจากหน้าจอ โดยไม่ได้ใช้แว่นกรองสีฟ้าถนอมดวงตา จึงทำให้เกิดการเสื่อมสภาพในส่วนการรับส่งสัญญาณการมองเห็นไปยังส่วนเส้นประสาทตา เกิดอาการตามัว การมองเห็นเสื่อมสภาพไปเรื่อย ๆ เห็นภาพสีเพี้ยน มองไม่ชัด ตาไม่สู้แสง หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
3.ผลกระทบต่อการนอนหลับ
การได้รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้ามากไป จะมีผลต่อนาฬิกาชีวิตของระบบทำงานภายในร่างกายแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไป โดยแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมจะทำให้ต่อมไพเนียลที่สร้างฮอร์โมนเมลาโทนินจากสมองน้อยลง สร้างผลกระทบต่อผู้ป่วยให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิทนั่นเอง
คำแนะนำในการดูแลดวงตา
1.ปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับดวงตา เช่น ห้องที่เรานั่งอยู่ไม่ควรจะสว่างหรือมืดจนเกินไป เช่น การปิดไฟเล่นโทรศัพท์มือถือ อันนี้อันตรายต่อดวงตามากกว่าการเล่นในห้องที่เปิดไฟ เพราะช่วงที่ห้องมืด ม่านตาเราจะขยาย ทำให้แสงเข้าสู่ดวงตามากเกินความจำเป็น
2.ไม่ควรนั่งใช้สายตาในพื้นที่ลมพัดแรง ลมแอร์เป่า เพราะจะทำให้เกิดอาการตาแห้ง เกิดอาการล้าและเมื่อยดวงตาได้
3.ใช้กฏพักสายตา 20-20-20 ในระหว่างใช้คอมพิวเตอร์และเล่นโทรศัพท์มือถือ หมายความว่าทุก 20 นาทีของการใช้สายตามองใกล้ ต้องหยุดพักสายตา 20 วินาที โดยการหยุดพักด้วยการมองออกไปไกล ๆ มองต้นไม้ สีเขียว อย่างน้อย 20 ฟุต จะช่วยลดการเพ่งของดวงตาได้เช่นกัน
4.ตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ยิ่งคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่มีความเสื่อมของร่างกาย เสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก ต้อหิน เป็นอย่างมาก รวมถึงจอประสาทตาเสื่อมตามกาลเวลา หรือในคนที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับโรคทางดวงตา คนที่ป่วยเป็นเบาหวาน หรือทานยาที่มีผลข้างเคียงต่อดวงตา
วิธีเลือกซื้อวิตามินบำรุงสายตา
1.เลือกให้ตรงกับปัญหาสายตา
เช่น หากเราตาสู้แสงไม่ได้ แสบตาบ่อย ตาแห้ง ตาล้า ก็เลือกวิตามินที่มีสรรพคุณเด่นในด้านนี้ ที่ระบุไว้เป็นสรรพคุณของวิตามินเสริมที่เรากำลังจะซื้อ
2.เลือกที่ร่างกายต้องการ
คนที่ไม่ค่อยรับประทานอาหารเนื้อสัตว์ ปลาทะเล ผักใบเขียว กินเจ มังสวิรัติ ให้เลือกกินวิตามินบี 2 เสริมเข้าไป สามารถซื้อลูทีน ซีแซนทีนมาเสริมได้
3.อ่านฉลากผลิตภัณฑ์ให้ละเอียดก่อนซื้อ
ดูข้างฉลากว่ามีวิตามินอะไรเป็นส่วนผสมบ้าง มีปริมาณสารอาหารแต่ละชนิดจำนวนเท่าไร ผ่านมาตรฐาน อย. หรือไม่ รวมถึงดูวันหมดอายุด้วย
วิตามินบำรุงสายตากินตอนไหน
อาหารเสริมลูทีนช่วยบำรุงดวงตาและป้องกันโรคตาบางประเภทได้ เช่น โรคต้อหิน โรคต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อม รวมถึงช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงหัวใจ รวมถึงช่วยด้านความจำป้องกันโรคอัลไซเมอร์ เราแนะนำให้กินลูทีนในช่วงเวลาก่อนนอนจะดีที่สุด
สรุป
เมื่อทราบกันดีแล้วว่า ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุด ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษตลอดเวลา ใครที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำงานกับแสงสีฟ้าบ่อย ๆ เล่นโทรศัพท์มือถือในที่มืดบ่อย ๆ สมควรได้รับการดูแลดวงตาด้วยการกินวิตามินบำรุงเสริมเข้าไป
นอกจากการกินอาหารและผลไม้ที่มีส่วนผสมของลูทีส ซีแซนทีน โอเมก้า 3 เพราะดวงตามีคู่เดียว หากไม่ดูแลให้ดีอาจนำไปสู่ภาวะโรคจอประสาทตาเสื่อม โรคต้อหิน โรคต้อกระจกได้ ซึ่งหากร้ายไปกว่านั้นอาจถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นไปตลอดชีวิตเลย
อ้างอิง
Nutrition and the eye : NHS Tayside
The 9 Most Important Vitamins for Eye Health : healthline
เจ้าของร้านขายยาโดยเภสัชกรชั้นนำหลายสาขา ขายดีจ่ายยาแล้วคนไข้หายจนเป็นที่ยอมรับ การศึกษาปริญญาตรีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทจากประเทศออสเตรเลีย มีความรู้ และประสบการณ์เกี่ยวกับ สุขภาพ อาหารเสริม ตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์ ประสบการณ์ยาวนานมากกว่า 10 ปี