ไบโอติน คืออะไร
ไบโอติน หรืออีกชื่อว่า วิตามินเอช วิตามินบี 7 หรือแม้แต่โคเอนไซม์ อาร์ เป็นวิตามินที่จัดในกลุ่มวิตามินบีซึ่งละลายได้ดีในน้ำ ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ช่วยระบบเผาผลาญในร่างกาย แต่ยังช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ที่สร้างใหม่แบ่งตัวตลอดเวลาเช่น เส้นผม ผิวหนัง และเล็บ
ร่างกายคนเราควรได้รับไบโอตินธรรมชาติในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวันคือ 100-150 ไมโครกรัมต่อวัน มีที่มาจาก 2 แหล่ง คือการสังเคราะห์ของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ และอาหารที่ทานในแต่ละวัน รวมถึงสาเหตุที่ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดไบโอตินได้บ้าง
เช่นการขาดสารอาหารระหว่างตั้งครรภ์ ระบบทางเดินอาหารทำงานลดลง การดื่มแอลกอฮฮล์และการสูบบุหรี่ รวมถึงการทานไข่ขาวดิบเป็นประจำ ซึ่งลักษณะอาการที่บ่งชี้ว่าร่างกายขาดไบโอตินคือ สีผมเปลี่ยน ผมหงอกก่อนวัย ผมหลุดร่วง ผิวหนังแห้งอักเสบง่าย ผื่นแดงรอบดวงตา จมูก ปาก แขนขาซีด ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น
แม้ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานด้านงานวิจัยที่ยืนยันว่าการใช้ไบโอตินสำหรับรักษาภาวะผมร่วงในผู้ที่ไม่มีภาวะขาดไบโอติน หรือกรณีรับประทานเป็นอาหารเสริมเพื่อบำรุงเส้นผม
หากต้องการทานไบโอติน แนะนำให้ใช้วันละ 600-2400 ไมโครกรัม แต่ยังไม่มีรายงานการเกิดอาการข้างเคียงใด ๆ เนื่องจากไบโอตินไม่มีการสะสมในเนื้อเยื่อชั้นไขมันทำให้การบริโภคในปริมาณที่มาก ร่างกายก็ยังกำจัดออกได้ดีทางปัสสาวะ
ไบโอตินเป็นสารอาหารสำคัญในการบำรุงเส้นผม ให้ผมหนา บำรุงเล็บ บำรุงผิวหนังให้แข็งแรง อีกทั้งมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาท ระบบเผาผลาญพลังงาน ตลอดจนเซลล์ภายในร่างกาย และเป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ละลายน้ำได้ เรารู้จักกันในชื่ออื่น ๆ คือวิตามินเอช หรือวิตามินบี 7 ซึ่งร่างกายต้องการไบโอตินเพื่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ดังนี้
- บทบาทสำคัญต่อสุขภาพผม เล็บ และผิวหนัง
เพราะในเส้นผม เล็บ และผิวหนังของคนเรา หลัก ๆ ประกอบขึ้นจากโปรตีนเคราติน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างโครงสร้างของเคราตินให้แข็งแรง ใครที่ขาดไบโอตินจะส่งผลกระทบต่อเคราตินจนทำให้สุขภาพเส้นผม เล็บ และผิวหนังอ่อนแอลง
- รักษาและป้องกันภาวะขาดไบโอติน
เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่นโรคขาดสารอาหาร น้ำหนักลดลง รับอาหารผ่านทางสายยางเป็นเวลานาน ผู้ป่วยที่ขาดไบโอตินอาจมีการบ่งชี้คือ ผมบางลง สีผมเปลี่ยนไป มีผื่นแดงขึ้นรอบดวงตาจมูก และปาก อาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า อาการประสาทหลอน เหน็บบริเวณแขนขาได้ ดังนั้นการทานอาหารเสริมจะช่วยทดแทนไบโอตินส่วนที่ขาดได้
- ช่วยในการทำงานของระบบเผาผลาญ
ไบโอตินเป็นวิตามินชนิดที่มีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบเผาผลาญ ทำหน้าที่เปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตกลายเป็นกลูโคสเพื่อใช้เป็นพลังงาน ยังมีส่วนช่วยให้กรดอะมิโนทำงานร่วมกับระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้
ไบโอตินอยู่ในอาหารอะไร
ร่างกายของคนเราจะได้รับไบโอตินจากการทานอาหารในแต่ละวันอย่างเพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งอาหารที่มีปริมาณไบโอตินเราสามารถพบได้ในอาหารอะไรบ้าง
ไข่แดง
ในไข่แดง อุดมไปด้วยวิตามินบี โปรตีน ฟอสฟอรัส และไบโอติน โดยเฉพาะในไข่แดง เป็นแหล่งของไบโอตินเลย ซึ่งไข่สุกทั้งฟองปริมาณ 50 กรัม จะมีไบโอตินประมาณ 10 ไมโครกรัม หากต้องการได้รับไบโอตินจากไข่ แนะนำให้กินแบบไข่สุกจะดีกว่า เนื่องจากมีโปรตีนที่เรียกว่า Avidin ที่จะไปรบกวนการดูดซึมไบโอตินหากรับประทานแบบไข่ดิบ
เครื่องในสัตว์ เช่น ตับไต
เครื่องในสัตว์อย่างตับไต ถือเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยไบโอตินสูง เป็นเพราะว่าไบโอตินส่วนใหญ่ในร่างกายจะถูกเก็บไว้บริเวณตับ โดยตับวัวสุกประมาณ 75 กรัมจะมีไบโอตินประมาณ 31 ไมโครกรัม ขณะที่ตับไก่สุกจะมีไบโอตินสูงถึง 138 ไมโครกรัมกันเลย
ถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่ว เมล็ดพืช
แหล่งไฟเบอร์ ไขมันไม่อิ่มตัว โปรตีน รวมถึงไบโอติน คือพืชตระกูลถั่ว และเมล็ดพืช เช่นวอลนัทมีไบโอตินที่ประมาณ 9.5 ไมโครกรัม เมล็ดทานตะวันอบในปริมาณ 30 กรัม มีไบโอตินประมาณ 2.6 ไมโครกรัม และอัลมอนด์อบในปริมาณเท่ากันมีไบโอตินประมาณ 1.5 ไมโครกรัม ถั่วลิสงประมาณ 28 กรัมมีไบโอตินประมาณ 5 ไมโครกรัม
เห็ด
เห็ดมีไบโอตินสูงไม่แพ้กัน โดยเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญองกระป๋องประมาณ 120 กรัม จะมีไบโอตินอยีที่ประมาณ 2.6 ไมโครกรัม ถ้าอยากให้ร่างกายได้รับไบโอตินจากเห็ดที่มากกว่า แนะนำให้เลือกเป็นเห็ดสด เพราะในเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญองสดจะมีไบโอตินประมาณ 5.6 ไมโครกรัม
แซลมอน
อาหารสุดฮิตของใครหลายคนอย่าง แซลมอน ที่อุดมไปด้วยไบโอติน โดยในแซลมอนประมาณ 3 ออนซ์จะมีไบโอตินที่ประมาณ 5 ไมโครกรัม เนื่องด้วยแซลมอนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยปกป้องเส้นผมไม่ให้ขาดหลุดร่วงได้เช่นกัน
มันเทศ
มันเทศ ใคร ๆก็ชอบทาน ที่อุดมไปด้วยวิตามิน ไฟเบอร์ แร่ธาตุ แคโรทีนนอยด์ เบต้าแคโรทีน รวมถึงยังอุดมไปด้วยไบโอตินที่สูง โดยในมันเทศจะมีไบโอตินประมาณ 2.4 ไมโครกรัม ดังนั้นใครที่อยากเพิ่มไบโอติน มันเทศถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
หมายเหตุ — ไบโอตินเป็นสารอาหารที่อาจเสื่อมคุณค่าลงหากโดนความร้อน ดังนั้นหากต้องการได้รับไบโอตินในปริมาณมาก ควรเลือทานอาหารที่มีไบโอตินที่ผานความร้อนน้อยที่สุด
ปริมาณไบโอตินที่ควรได้รับต่อวัน
ปริมาณการได้รับไบโอตินในแต่ละวันที่พอเหมาะต่อความต้องการในร่างกายแต่ละช่วงอายุมีดังนี้
- เด็กเล็ก ควรได้รับไบโอติน 5-12 ไมโครกรัมต่อวัน
- เด็กโต ควรได้รับไบโอติน 20-25 ไมโครกรัมต่อวัน
- ผู้ใหญ่ ควรได้รับไบโอติน 30 ไมโครกรัมต่อวัน
- หญิงตั้งครรภ์ ช่วงให้นมบุตร ควรได้รับไบโอติน 30-35 ไมโครกรัมต่อวัน
อย่างไรก็ตาม หากท่านต้องการรับประทานอาหารเสริมไบโอติน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทานเสมอ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ หรือใช้ยารักษาโรคชนิดอื่นอยู่
ไบโอตินช่วยบำรุงเส้นผมให้ผมหนา
หลายคนยังคาดหวังว่าการทานไบโอตินจะช่วยเร่งผมยาว ผมหนา หรือช่วยบำรุงเส้นผมให้สุขภาพดีดกดำ แม้ไบโอตินจะมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างของเคราติน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพเส้นผม ปัจจุบันยังไม่อาจยืนยันได้ว่าไบโอตินส่งผลดีต่อสุขภาพผมโดยตรง เช่นเดียวกับการทานไบโอตินในรูปแบบอาหารเสริมที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจระบุประสิทธิภาพการเร่งผมยาวได้แน่ชัด
ภาวะผมร่วงเพราะขาดไบโอติน
ภาวะผมร่วงขาดไบโอตินหมายถึง ภาวะผมร่วงมากจนผิดปกติ หรือผมขาวก่อนวัย อาการหนังศีรษะอักเสบ ผมเปราะง่าย ผมแตกปลาย รังแคเยอะ หรือผิดปกติของหนังศีรษะและเส้นผม
หากร่างกายได้รับไบโอตินในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุผิว และยังทำให้ร่างกายได้สร้างพลังงานระหว่างการออกกำลังกาย หรือ การทำกิจกรรมต่าง ๆ แถมช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับรากผม หนังศีรษะ เส้นผมหนา ความเรียบของผิวหนัง
แต่ในขณะเดียวกัน หากร่างกายขาดไบโอตินมากเกินไป นอกจากจะทำให้ผมร่วงแล้ว ยังทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ภูมิคุ้มกันลดลง
ประโยชน์ของไบโอติน สรรพคุณ
1.ช่วยป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะล้าน
ไบโอติน ช่วยลดอาการผมร่วง อาการศีรษะล้านได้ เพราะไบโอตินมีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ ซึ่งทำงานร่วมกับเอนไซม์ โดยทำหน้าที่ผลิตกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อการสังเคราะห์โปรตีนเคราติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเส้นผมกันเลย ช่วยให้เส้นผมสุขภาพดีเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ
2.ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย
ไบโอติน มีบทบาทเป็นโคเอ็นไซม์ชนิดหนึ่ง เป็นตัวเร่งให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ การขาดไบโอตินทำให้ขบวนการในการสร้างเซลล์ใหม่เกิดภาวะบกพร่องได้ จึงอาจทำให้เกิดภาวะผมร่วง ภาวะผิวหนังอักเสบได้
3.ช่วยป้องกันผมหงอก
ไบโอตินจะเข้ามาช่วยยับยั้งอาการผมหงอกได้ เนื่องจากผมหงอกเกิดขึ้นจากการเสื่อมสภาพของเซลล์มิวเคอร์ Mucor ที่ทำหน้าที่ในการผลิตสารสีดำในร่างกาย กรณีผมหงอกเกิดขึ้นกับคนที่อายุน้อย จะเกิดจากการมีเมลานินไม่เพียงพอนั่นเอง ส่งผลให้เม็ดสีผมค่อย ๆลดจำนวนลงทีละน้อย ๆ จนเป็นเหตุทำให้ผมหงอกในที่สุด
วิธีเลือกซื้อไบโอติน
1.เลือกจากสารสกัดวัตถุดิบ
ควรพิจารณาจากสารสกัดหรือวัตถุดิบ เช่นควรมีสารสกัดธรรมชาติอย่าง ไบโอติน มิลเลท ฮอสเทล ชาชาว เคลป์ไบโอติน , วิตามินอี , วิตามินซี , วิตามินบี 3 , วิตามินบี 6 สังกะสี , คอลลาเจน , L-Cysteine Zinc Gluconate Calcium เป็นต้น
2.เลือกจากสรรพคุณ
สรรพคุณที่มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดเลือการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยบำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึกจนถึงรากผม ช่วยลดผมขาดหลุดร่วง เพิ่มความเงางามให้เส้นผมแข็งแรง นุ่มสลวย รักษาอาการศีระล้าน และยังช่วยบำรุงผม เล็บ กล้ามเนื้อ เอ็น กระดูก
3.เลือกจากมาตรฐานการผลิต
ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ว่าเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ปลอดภัย และ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน GMP จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากระทรวงสาธารณสุข
ไบโอตินกินตอนไหน กินวันละกี่เม็ด
ควรทานไบโอตินวันละ 1 แคปซูล หลังอาหารเช้า และ ระวังไม่ควรทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปและไม่เป็นอันตราย เช่นท้องเสีย มีผื่นขึ้นตามผิวหนังเล็กน้อย
- เพื่อรักษาอาการเล็บเปราะบาง ฉีกขาดง่าย ควรทานวันละ 2400-3500 ไมโครกรัม หรือ 4-6 เม็ด
- เพื่อลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม ควรทานวันละ 2400 ไมโครกรัม หรือ 4 เม็ด
- เพื่อบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ควรทานวันละ 1200 ไมโครกรัม หรือ 2 เม็ด
- เพื่อป้องกันการขาดไบโอติน ควรทานวันละ 600-1200 ไมโครกรัม หรือ 1-2 เม็ด
การทานไบโอตินอย่างไรถึงได้ผล
ต้องทราบก่อนว่า ขนาดไบโอตินที่เราเห็นวางขายส่วนใหญ๋จะเป็นขนาด 600 ไมโครกรัม ขนาดที่พอเหมาะต่อการทานอย่างปลอดภัย หากทานวันละ 1 เม็ด
สำหรับการดูแลเรื่องเส้นผม มีข้อสังเกตุว่ารายงานการใช้ไบโอตินในผม พบว่ามีน้อยและมีปัญหาของเส้นผม และปัจจัยอื่น ๆ เช่นเรื่องพันธุกรรม นิสัยการชอบดึงเส้นผม ความเครียดสะสม ย้อมสีผม โรคผิวหนังบางชนิด หรือแม้แต่การใช้ยาเป็นเวลานาน
ถึงแม้ว่าร่างกายคนเราจะสามารถสร้างไบโอตินได้เอง แต่ก็ต้องหมั่นดูแลร่างกายด้วย โดยการทานอาหารที่มีไบโอตินสูง ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเสมอ จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพได้ ทั้งนี้นอกจากไบโอตินที่ช่วยแก้ปัญหาผมร่วงแล้ว ยังมี Zinc ที่ช่วยแก้ปัญหาได้เหมือนกัน
ผู้ที่ควรทานวิตามินไบโอติน
- ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง
- ผู้ที่มีปัญหาเล็บเปราะ บาง ฉีกขาดง่าย
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดไบโอติน เช่น ทานยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้แบคทีเรียในลำไส้สร้างไบโอตินได้น้อย หรือ ผู้ที่ทานไข่ขาวดิบเป็นประจำ เนื่องจากสารเอวิดีนในไข่ขาวดิบจะยับยั้งการดูดซึมของไบโอติน
ผลข้างเคียงของการกินไบโอติน
ไบโอตินถือเป็นวิตามินละลายน้ำได้ ปกติแม้จะรับเข้าไปมากเกินไปก็ไม่ส่งผลเสีย แม้จะทานทีละ 800 mcg. 2500 mcg. หรือมากกว่านั้น ร่างกายก็สามารถขับออกมาได้ โดยปกติไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย
แต่บางกรณีอาจมีผลเสียบ้าง ผู้ที่ทานไบโอตินมากเกินไปอาจทำให้มีการอาเจียน แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก เกิดผื่นขึ้น หากแพ้อย่างรุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที
วิธีดูแลสุขภาพเส้นผมอย่างถูกวิธี
เรื่องเส้นผมเป็นปัญหาที่ทำให้ขาดความมั่นใจได้ หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาเส้นผมอยู่ ไม่ว่าจะผมแห้งเสีย ผมชี้ฟู ผมแตกปลาย ผมหลุดร่วง ราผมอ่อนแอ ที่เป็นปัญหากวนใจอยู่หรือเปล่า เรามีวิธีดูแลเส้นผมอย่างถูกวิธีมาฝากกันที่จะทำให้ผมนุ่มสลวย เงางามได้อย่างใจต้องการ
ผมเสียผมแตกปลาย คือการที่ผมชั้นนอกถูกทำลาย ปลายผมอ่อนแอ ฉีกออกจากกัน เมื่อผมแตกปลายทำให้ผมชี้ฟู พันกัน ทำให้ผมเสีย มักพบกับผู้ที่ไว้ผมยาว เพราะต้องเผชิญกับสารเคมี แสงแดด มลภาวะต่าง ๆ และสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ผมเสียแตกปลายเกิดจาก
1.สระผมบ่อยเกินไป หรือ สระผมด้วยน้ำร้อน
การสระผมบ่อยเกินไปเป็นการทำลายเส้นผม เพราะน้ำมันในเส้นผมจะถูกชำระล้างออกมากไป ทำให้หนังศีรษะแห้ง เกิดรังแค และการสระผมด้วยน้ำร้อนเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เส้นผมเกิดความอ่อนแอ
2.การใช้ความร้อนและสารเคมีกับเส้นผม
ใครที่ชอบทำสีผม ดัดผม หนีบผม ม้วนผม ไดร์ผม หรือใช้สารเคมีและความร้อนมากกว่า 180 องศากับเส้นผมบ่อย ๆ จะเป็นการทำลายเส้นผม ส่งผลให้เส้นผมอ่อนแอ เปราะบาง แตกปลาย ขาดหลุดร่วงง่าย
3.แสงแดด และมลภาวะ
เส้นผมคนเราต้องเผชิญกับแสงแดดและมลภาวะ ซึ่งแสง UV และมลภาวะฝุ่นควันมีส่วนทำลายสารในโครงสร้างผม ทำให้ผมเสีย ขาดหลุดร่วง แตกปลาย ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดและมลภาวะ
คำแนะนำวิธีบำรุงผม
เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัญหาเส้นผมแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นวิธีบำรุงผมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ควรแก้ปัญหาให้ตรงจุด ต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาดูแลเส้นผมอย่างสม่ำเสมอ
1.สระผมอย่างพอดี
สระผมอย่างพอดีคือไม่ควรสระผมทุกวัน เพราะจะทำให้เส้นผมและหนังศีรษะอ่อนแอ แต่ก็ขึ้นกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะของแต่ละคนด้วย ที่สำคัญไม่ควรสระผมด้วยน้ำร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป และควรสระผมสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งเพื่อไม่ให้ทำลายเส้นผม หรือหมักหมมสิ่งสกปรกมากเกินไป
วิธีบำรุงผมด้วยการสระผมอย่างถูกวิธีคือ
1.ขจัดสิ่งสกปรกก่อนด้วยการหวีผมก่อนสระ เพื่อไม่ให้ผมพันกัน และขาดหลุดร่วงขณะสระผม
2.ล้างเส้นผมด้วยน้ำเปล่าก่อน เพื่อล้างสิ่งสกปรกออก
3.เทแชมพูลงฝ่ามือ ชโลมให้ทั่วศีรษะ อย่าเกาศีรษะแรง ๆ แต่ให้ใช้เพียงนิ้วมือนวดบริเวณศีรษะเบา ๆ เพิ่มการไหลเวียนเลือดบนหนังศีรษะ
4.เมื่อสระผมด้วยแชมพู ให้ใช้ครีมนวดผมหมักทิ้งไว้ 3 นาทีแล้วล้างออก
5.เมื่อสระผมแล้ว บีบน้ำออกจากผมเบา ๆ จากนั้นใช้ผ้าเช็ดผมให้แห้ง
2.บำรุงด้วยครีมนวดหรือทรีทเมนต์เป็นประจำ
การบำรุงนวดผมด้วยครีมนวดผมและทรีเมนต์ จะช่วยฟื้นฟูผมที่แห้งเสีย ขาดหลุดร่วง ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็นเคล็ดลับการบำรุงผมที่ได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยม
3.เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพเส้นผม
ผมธรรมดา ให้เลือกแชมพูที่มีส่วนของวิตามินบำรุงผม
ผมแห้ง ให้เลือกประเภทที่เป็นส่วนผสมหลักคือโปรตีน
ผมมัน ให้เลือกยาสระผมแก้ผมมัน สำหรับคนผมมันโดยเฉพาะ
ผมเสีย ให้เลือกแชมพูสำหรับผมทำสี ผมแห้งเสียโดยเฉพาะ
4.หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนจัดแต่งทรงผม
การใช้ความร้อนจัดแต่งทรงผม ไม่ว่าจะใช้ ไดร์เป่าผม ใช้ ที่หนีบผม ใช้ ที่ม้วนผม ความร้อนจะทำให้โครงสร้างเคราตินอ่อนแอ หากโครงสร้างถูกความร้อนทำลายบ่อย ๆ จะทำให้ผมไม่แข็งแรง ขาดหลุดร่วงง่าย
5.ไม่ควรทำสีผมบ่อยเกินไป
การทำผมคือการใช้สารเคมีเป็นการทำลายโครงสร้างเคราตินของเส้นผม การใช้สารเคมีไม่ใช่เพียงแค่การทำสี รวมถึงการใช้ น้ำยาดัดผม , แชมพูย้อมผม ยืดผม กัดสีผม แชมพูปิดผมขาว หรือการ ฟอกสีผม สารเคมีจะทำให้เส้นผมอ่อนแอ ขาดความชุ่มชื้น
6.การทานอาหารบำรุงเส้นผม
อาหารบำรุงผม สารอาหารที่เส้นผมควรได้รับ ได้แก่ โปรตีน , ไบโอติน , วิตามินบี 7 , วิตามินบำรุงผม , วิตามินแก้ผมร่วง , ธาตุเหล็ก , สังกะสี สามารถหาได้ง่ายจากอาหารจำพวก ไข่ไก่ ปลาที่มีไขมันสูง แซลมอน ทูน่า เนื้อไก่ เนื้อหมู โดยเฉพาะส่วนของตับ ผักใบเขียว ผักโขม คะน้า นม โยเกิร์ต ชีส เป็นต้น
7.ปกป้องเส้นผมเวลาลงสระน้ำ
คลอรีน มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ ที่พบบ่อยคือ ผสมคลอรีนในสระว่ายน้ำ เพราะคลอรีนมีความปลอดภัยสูงสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดี แต่เมื่อพูดถึงการทำปฏิกิริยาของคลอรีนกับเส้นผม คลอรีนเป็นสารประเภทกัดกร่อน ทำลายโปรตีนในเส้นผม ทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้
ลดผมขาดร่วงด้วยไบโอติน (Biotin)
สรุป
การทานไบโอตินที่ใช้ในการบำรุงเส้นผมและเล็บ สามารถทานวันละ 1000-2000 ไมโครกรัม จะช่วยให้ลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ รักษาภาวะผมหงอกก่อนวัย ช่วยให้เล็บแข็งแรง หากทานวันละ 2500 มคก.ต่อวัน และจะยังไม่พบผลข้างเคียงอย่างใด
เนื่องจากไบโอตินเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำได้ดี จึงไม่เกิดการสะสมในร่างกายแต่อย่างใด และที่สำคัญควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละวันอยู่เสมอ อันได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ เพื่อทำให้ร่างกายองค์รวมแข็งแรง ส่งผลให้ร่างกายส่วนอื่น ๆ หรือสุขภาพผิว สุขภาพเส้นผมแข็งแรงอยู่เสมอ
อ้างอิง
เจ้าของร้านขายยาโดยเภสัชกรชั้นนำหลายสาขา ขายดีจ่ายยาแล้วคนไข้หายจนเป็นที่ยอมรับ การศึกษาปริญญาตรีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทจากประเทศออสเตรเลีย มีความรู้ และประสบการณ์เกี่ยวกับ สุขภาพ อาหารเสริม ตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์ ประสบการณ์ยาวนานมากกว่า 10 ปี
ไบโอติน Swisse
-ช่วยบำรุงเส้นผม เล็บ และยังบำรุงผิวพรรณ
-ช่วยเบาเทาอาการผิวหนังแห้ง รังแค สิวหาย ผิวสวย หน้าใส
ไบโอติน Clover Plus
-ช่วยลดผมหลุดร่วง และชะลอผมหงอกเร็ว
-ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์รากผม
ไบโอติน InterCare
-เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเส้นผม ผมบาง ผมร่วง
-รวมวิตามิน 12 ชนิด ที่มีคุณประโยชน์หลากหลาย
ไบโอติน HERRMETTO
-ช่วยกระตุ้นการงอกใหม่และยืดอายุเส้นผม
-เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหัวล้านจากกรรมพันธุ์
ไบโอติน NBL
-ช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางาม ไม่ขาดหลุดร่วงง่าย
-ช่วยบำรุงเล็บให้แข็งแรง ไม่เปราะ ฉีกขาดง่าย
ไบโอติน Herbitia
-ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเส้นผม แก้ปัญหาผมหลุดร่วง
-ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับรากผม ลดการเกิดผมหงอก
ไบโอติน LYO
-ช่วยลดความมันบนหนังศีษระ ขจัดรังแค
-ช่วยชะลอผมหงอกก่อนวัย ทำให้ผมดกดำขึ้น
ไบโอติน Haru
-ช่วยบำรุงเล็บ ไม่ให้ฉีก หักเปราะง่าย
-ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับรากผม
ไบโอติน DHC
-ช่วยบำรุงโครงสร้างเส้นผมให้แข็งแรง
-ช่วยสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ
-เหมาะสำหรับผู้ที่ขาดไบโอติน และเส้นผมขาดเปราะง่าย
ไบโอติน 21st Century
-ช่วยป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
-ช่วยบรรเทาอาการผื่นผิวหนังอักเสบ และผดผื่นคันต่างๆ