เต็นท์ในปัจจุบันนี้ถือได้ว่าเป็นอะไรที่ยอดฮิต ยอดนิยมถูกใจกับคนที่ชื่นชอบในการเดินป่ามาก ๆ เพราะสามารถนำไปกางเป็นที่นอนพักอาศัยสำหรับการเดินป่า ปีนเขาบนดอยของคนรักธรรมชาติและต้องการความเงียบสงบ มีทั้งขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ๆ มีหลายวัสดุการใช้งาน
ถ้าใครต้องเตรียมตัวไปเดินป่า สิ่งสำคัญต้องไม่ลืมการจัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าเดินป่า , เก้าอี้สนาม , เต็นท์ , เครื่องตั้งเวลารดน้ำ , ถุงนอน , เตาปิคนิค , ที่นอนเป่าลม , เตาแก๊สปิ้งย่าง , กางเกงเดินป่า และอีกมากมาย
เต้นท์ คืออะไร
เป็นหนึ่งในอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง เดินป่าที่ขาดไม่ได้สำหรับสายแอดเวนเจอร์ มักจะถูกใช้ควบคู่ไปกับอุปกรณ์เดินป่าอื่นๆเช่น เตาแก๊สปิ้งย่าง , เก้าอี้สนาม หรือแม้แต่ แก้วเยติ ประเภทวัสดุมีมากมายไม่ว่าจะเป็นการทำ เช่น แบบกระโจม ก็จะมีการนำใช้ผ้าใยสังเคราะห์ แบบไนลอน หรือจะเป็นโพลีเอสเตอร์ที่เคลือบกันน้ำได้
ที่มีคุณภาพดีควรที่กางง่าย และสามารถกันน้ำ กันแดด ทนลมได้ ซึ่งจะต้องมีการซีลที่ตะเข็บเพื่อไม่ให้น้ำรั่วซึมลงมาด้านใน ชนิดของการเคลือบกันน้ำเคลือบด้วยโพลียูรีเทน หรือจะเคลือบด้วย silver เคลือบด้วยซิลิโคน เป็นต้น วัสดุที่ใช้ทำเช่นโครงเหล็ก และผ้าออคฟอร์ด ข้อดีคือ มีความคงทน ทนแดด ทนลม แต่มีความหนักในระดับหนึ่ง อีกแบบคือ อะลูมิเนียม และผ้า ข้อดีคือ พกพาสะดวก มีน้ำหนักเบา เป็นต้น
อุปกรณ์เต็นท์ประกอบด้วยอะไรบ้าง
1.ฟลายชีท (Fly Sheet)
เป็นเนื้อผ้าใยสังเคราะห์คลุมด้านนอก เพื่อกันทั้งแดด, ละอองน้ำค้าง, ความเปียก, และในขณะที่ฝนตก
2.กราวน์ชีท (Ground Sheet)
อุปกรณ์ที่คู่มาด้วยกับตัวฟรายชีท ส่วนใหญ่จะติดมาเป็นชุด เป็นส่วนที่ใช้รองด้านล่างที่เป็นพื้น ใช้กันความชื้นจากละอองน้ำค้าง, ฝนที่ตก และความชื้นที่พื้น สำหรับการนอนที่จะไม่มีความชื้นซึมเข้ามาในแคมป์
3.โครง (Pole)
ตัวเสริมความแข็งแรงให้กับแคมป์ที่พัก ซึ่งโครงจะมีเสาเป็นส่วนประกอบ จะมีตั้งแต่ 1 เสาในรูปแบบกระโจม แต่ส่วนใหญ่จะมี 2-3 เสา อย่างเช่น รูปแบบโดม, รูปแบบสามเหลี่ยม หรือแบบอุโมงค์ เป็นต้น ยิ่งมีโครงที่มีเสาเป็นส่วนประกอบมาเท่าไหร่ เป็นการแสดงถึงความมั่นคง และแข็งแรงของแคมป์ที่พัก
4.หมุดตอก, สมอบก (Peg)
เป็นตัวยึดแคมป์ให้มั่นคงมากขึ้น ที่ต้องใช้งานร่วมกันกับเชือกขึง และตัวเสาโครงสร้างร่วมด้วย
5.พื้นที่ภายใน (Inner Tent)
หรือ Inner Tent เป็นส่วนพื้นที่ด้านใน ที่ใช้ในการเข้าพักนอน มีส่วนที่เป็นผ้ามุ้ง และผ้าตาข่าย ช่วยในการถ่ายเทอากาศ รวมถึงการระบายความชื้น
6.เชือกขึง (Guyline)
ใช้งานร่วมกับตัวสมอบก และตัวโครงแคมป์ เพื่อช่วยให้ที่พักมีความมั่นคง, แข็งแรง โดยเฉพาะเวลาที่ลมพัดมา หรือมีฝนตก
การเลือกซื้อเต็นท์ พิจารณาจากอะไรบ้าง
1.เลือกตามรูปแบบ
- แบบสามเหลี่ยม (Ridge Tent)
เป็นรูปทรงแบบมาตรฐาน ที่หากใครพูดถึงการไปแคมป์ปิ้งก็จะต้องคิดถึง อุปกรณ์ชนิดนี้ในรูปทรงเป็นสามเหลี่ยม หรือหลังคาด้านบนเป็นหน้าจั่วมาก่อน รูปแบบสามเหลี่ยมนี้ จะมีโครง 2 เสาตรงฝั่งด้านประตู มีหลังคาที่เป็นฟรายชีท หรือแผ่นผ้าใบกันละอองฝน หรือน้ำค้าง ลักษณะนี้จะมีผู้นิยมใช้กันมาก เพราะสามารถครอบคลุมใช้ในการเดินทางได้หลากหลายกว่า
อีกแบบหนึ่งก็จะเป็นแบบชั้นเดียว คือ Single Wall ที่ไม่มีกันละอองฝน หรือน้ำค้าง ซึ่งโดยปกติแล้ว หากเป็นรูปแบบทรงสามเหลี่ยม ที่เป็นรูปทรงมาตรฐานนี้ จะมีน้ำหนักพอสมควร และพื้นที่ด้านบนตรงหลังคาหน้าจั่ว
ก็จะมีพื้นที่ด้านใน หรือ Inner Tent ที่น้อยกว่าในรูปแบบโดม แต่หากพูดถึงความเคยชิน สำหรับการตั้งแคมป์สำหรับใครหลายคน ก็ยังมีความคุ้นเคยกับรูปแบบสามเหลี่ยมแบบนี้อยู่
- แบบโดม (Dome Tent)
เป็นรูปแบบที่นิยมเหมือนกับแบบมาตรฐานสามเหลี่ยม แต่ในผู้ใช้งานที่มีการเลือกซื้อในปัจจุบันนี้ หากมีการใช้งานไม่เกิน 1-2 คนต่อเต็นท์แล้วละก็ จะนิยมเลือกในรูปแบบนี้มากกว่า ด้วยความที่มีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่าง ทั้งเรื่องน้ำหนักที่เบา, การติดตั้งที่มี 2 เสาไขว้กัน ทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้หมุดปัก หรือสมอบกให้ยุ่งยาก
แต่เราอาจจะต้องยอมรับว่า ในเรื่องของความแข็งแรงนั้น ยังไม่สามารถเทียบเท่าแบบสามเหลี่ยม หรือรูปแบบมาตรฐานได้ แต่มีความแข็งแรงต่อลมพัดในระดับหนึ่ง และดีกว่าแบบสปริงอัตโนมัติ หรือแบบป๊อปอัพ
ข้อดีคือ รูปแบบด้านบนหลังคาตรงกลาง จะมีช่องที่สามารถระบายอากาศได้ รวมถึงมีติดฟรายชีท หรือบางรุ่นก็จะมีกราวน์ชีทแถมพ่วงมาด้วย
- แบบกระโจม (Bell Tent)
ลักษณะเด่นซึ่งเป็นการติดตั้งง่ายอีกด้วย กับการที่มีเพียงแค่ 1 เสาตรงกลางเท่านั้น และรอบด้านจะเป็นผ้าแคนวาส ที่มีความหนา ขึงกับพื้นดินด้วยสมอบกรอบด้าน จะมีทั้งแบบที่มีฟรายชีท หรือผ้าใบกันละอองน้ำค้าง และแบบที่ไม่มีฟรายชีท
โดยการใช้งานหลักนั้น จะนิยมใช้ในช่วงหน้าร้อน เพราะไม่สามารถกันฝนได้ดีเท่าไหร่ ถึงแม้จะเป็นผ้าแคนวาสที่มีความหนา และมีฟรายชีทร่วมด้วยก็ตาม
โครงสร้างที่ไม่ป้องกันกับในกรณีฝนตกหนัก แต่หากมองในข้อดีตรงที่ ภายในInner Tent หรือพื้นที่ใช้สอยด้านใน สามารถจุคนที่สามารถนอนได้มากกว่าในรูปแบบโดม หรือแม้แต่แบบสามเหลี่ยมก็ตาม มีความนิยมใช้กันในส่วนของคนแถบยุโรป ในช่วงใบไม้ผลิ หรือใบไม้ร่วง และเป็นเต็นท์เสริม ที่ไว้สำหรับนอนโดยเฉพาะ
- แบบอุโมงค์กึ่งโดม (Geodesic Tent)
เป็นรูปแบบผสมผสานระหว่างรูปแบบโดม สำหรับส่วนหน้า และรูปแบบอุโมงค์ในช่วงกลางถึงช่วงท้าย ที่มีความแข็งแรงเทียบเท่าแบบมาตรฐาน ด้วยความที่มีเสาหลักยึดด้านข้าง ส่วนด้านหน้าเป็นการตอกหมุดเหมือนแบบโดม ภายในยังเสาไขว้ยึดเพื่อความแข็งแรง ดังนั้นหากใครต้องการเลือกการใช้งานที่มีความทนต่อลม, โครงสร้างแข็งแรง และสามารถกันละอองฝน หรือน้ำค้างได้ ควรที่จะเก็บตัวเลือกในรูปแบบนี้ไว้
- แบบครอบครัว (Family Tent)
การเดินทางตั้งแคมป์ในแบบกลุ่มใหญ่ หรือแบบครอบครัวที่มีสมาชิกตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป ตัวเลือกในรูปแบบนี้ถือว่าเหมาะสม ในการใช้งานที่จะสามารถรองรับ จำนวนคนได้มาก และมีเนื้อที่ด้านหน้าเปิดโล่ง ที่มีหลังคากันฝนด้านบน สามารถที่จะปูกราวน์ชีท และทำเป็นที่นั่งคุยกัน ด้วยการวาง เก้าอี้สนาม หลายตัว รวมถึงการจัดเป็นพื้นที่ในการต้มน้ำร้อน เพื่อชงกาแฟร้อนในตอนเช้าได้เป็นอย่างดี
- แบบบ้าน (Cabin Tent)
ในจำนวนคนร่วมเดินทางมาด้วยกัน หากมีจำนวนที่มากเกิน 6 คน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบครอบครัว หรือกลุ่มเดินทาง การเลือกในรูปแบบนี้จะเหมาะในการรองรับทั้งปริมาณคน และการมีพื้นที่ในการวางสัมภาระต่างๆ
อย่างเช่น ถุงนอน , กระเป๋าเดินป่า ของทุกๆ คน นอกจากประโยชน์ใช้สอยในทางพื้นราบแล้ว ในส่วนของ Head Room หรือความสูงที่มีมากถึง 2 เมตรหากเทียบกับรูปแบบทั่วไป ที่รองรับเพียงแค่ 1-2 คนมีเพียง 1-1.5 เมตรเพียงเท่านั้น
เราสามารถที่จะใช้เป็นที่เปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ว่าจะเป็น เสื้อกันฝน , กางเกงเดินป่า , รองเท้าเดินป่า , หมวกเดินป่า ในความพร้อมที่จะออกไปสำรวจพื้นที่บริเวณใกล้เคียง หรือนั่งถ่ายภาพเก็บวิวธรรมชาติไว้ด้วย กล้องคอมแพค กล้องไลก้า หรือ โทรศัพท์กล้องสวย แต่ด้วยความใหญ่ของรูปแบบนี้ ทำให้ไม่นิยมที่จะใช้ในการเคลื่อนย้ายบ่อยๆ เพราะนอกจากความหนักแล้ว ยังติดตั้งยากอีกด้วย
2.เลือกตามขนาดรองรับ
- ขนาดรองรับ 1 คน
พื้นที่ๆ เราสามารถไว้ใช้คำนวณ ในการเพิ่มจำนวนคนเดินทาง สำหรับการใช้งานด้วยการบวกเพิ่มเข้าไปในหน่วนพื้นที่ต่อคนตามนี้ได้ หากเป็นการเดินทางแค่คนเดียว การใช้ในรูปแบบโดม, อุโมงค์ หรือแบบป๊อปอัพได้หมด ทั้งนี้อาจจะต้องมีปัจจัยอื่นๆ ในการพิจารณาร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นทั้งสภาพอากาศ, พื้นที่ๆ จะไปตั้งที่พัก หรือ การใช้งานที่จะต้องมี พื้นที่วางสัมภาระมากหรือไม่
แต่สำหรับพื้นที่ต่อ 1 คนอยู่ที่ 55×180 เซนติเมตร และควรมีส่วนพื้นที่ด้านบน (Head Room) ที่ไม่น้อยกว่า 1 เมตร แต่อาจจะต้องดูในความสูงของผู้ชายที่มากกว่า 170 เซนติเมตร หรือความสูงของคนต่างชาติ ที่จำเป็นต้องเผื่อพื้นที่ด้านบน เพื่อความสบายในการเข้าไปใช้พื้นที่ส่วน Inner Tent ร่วมด้วย
- ขนาดรองรับมากกว่า 1 คนขึ้นไป
จากข้อมูลข้างต้นนั้น หากเรามีจำนวนผู้ที่ต้องใช้งานร่วมกันภายในเต็นท์นั้น สามารถที่จะบวกพื้นที่ใช้งานต่อคน คือ 55×180 เซนติเมตร จะได้เป็นขนาดที่พักที่เราควรจะเลือก ตัวเลือกที่สามารถรองรับได้ในจำนวนคนที่มากกว่า 2 คนก็คือ แบบอุโมงกึ่งโดม, แบบบ้าน, แบบครอบครัว, แบบกระโจม, แบบสามเหลี่ยม หรือรูปทรงแบบมาตรฐาน เป็นต้น
4.เลือกจากน้ำหนักของวัสดุ
อย่างดีจะต้องมีน้ำหนักเบา แต่มีความแข็งแรงทนทาน ต้านแดดต้านลมได้อย่างดี กางง่าย กันน้ำ แต่ข้อเสียของประเภทนี้คือมีราคาที่สูง
วิธีเก็บดูแลรักษาเต็นท์
1.หลังจากกลับไปท่องเที่ยวแล้วหากสกปรกมากก็ควรที่จะทำความสะอาดด้วยการใช้ไม้กวาด ที่ติดอยู่ตามรอบเซ็นออกไปให้หมดจากนั้นก็ใช้ผ้าชุบน้ำเปล่ามาเช็ด แล้วนำไปตากแดดในที่ร่มหรือแดดอ่อน ๆ ยามเช้า เพื่อป้องกันไม่ให้มีกลิ่นอับและเชื้อรานั่นเอง
2.แบบพับได้ควรเก็บไว้ในสถานที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่อบอ้าวจนเกินไป และไม่วางไว้กับพื้นโดยเฉพาะพื้นปูน เพราะอาจจะทำให้มีความชื้นและเกิดเชื้อราได้ง่าย
รีวิว เต็นท์ Decathlon Quechua รุ่น MH100
สรุป
เต็นท์ในการเลือกซ์้อเราควรคำนึงถึงปัจจัยหลายๆด้าน เช่น วัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ ขนาดของพื้นที่ๆจะใช้งาน จำนวนคนที่จะใช้ และตามงบประมาณที่มี เพราะไม่ใช่สินค้าประเภทที่จะซื้อกันได้บ่อยๆ ดังนั้นเวลาซื้อต้องพิจารณาให้ดี เลือกสิ่งที่ดี เพื่อยืดอายุในการใช้งานให้ใช้ได้อย่างยาวนานคุ้มค่า
ควบคุมและดูแลการผลิตคอนเท้นส์ ชื่นชอบที่จะนำเสนอคอนเท้นส์ที่ดีๆ มีประโยชน์ให้กับท่านผู้อ่าน