นอกจาก เครื่องฟอกอากาศ แล้ว ในบ้านเราก็ยังมีเครื่องดูดความชื้น หรือ เครื่องลดความชื้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มาแรง ยิ่งในหน้าฝนแบบนี้ หรือยิ่งช่วงมีความชื้นภายในบ้านของเรา ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดเชื้อราตามเพดาน บนเฟอร์นิเจอร์ ผนังบ้าน และของใช้ต่าง ๆ แถมทำให้เสื้อผ้าของเราไม่แห้งด้วย
ความชื้นคืออะไร
เป็นคำใช้เรียกปริมาณ ไอน้ำในอากาศ อากาศชื้นเป็นสารผสมระหว่างไอน้ำกับองค์ประกอบอื่นของอากาศ ความชื้นในแง่ของปริมาฯน้ำในสารผสมนี้เรียกว่า ความชื้นสัมบูรณ์
แต่การใช้ในประจำวัน คำว่า ความชื้น หมายถึง ความชื้นสัมพัทธ์ มากกว่า จะแสดงเป็นร้อยละในการพยากรณ์อากาศและในเครื่องวัดความชื้นอากาศครัวเรือน เรียกเช่นนี้เพราะเป็นการวัดความชื้นสัมบูรณ์เทียบกับค่าสูงสุด ความชื้นจำเพาะ
ซึ่งเป็นอัตราส่วนของปริมาณไอน้ำในสารผสมกับปริมาณอากาศทั้งหมด ซึ่งปริมาณไอน้ำในสารผสมสามารถวัดได้โดยมวลต่อปริมาตรหรือเป็นความดันย่อยขึ้นอยู่กับการใช้
เครื่องดูดความชื้นคืออะไร
คือ เครื่องลดความชื้น หรือ เครื่องดูดความชื้น จะมีลักษณะการทำงานที่คล้ายกับเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะช่วยในการลดความชื้น และ ดูดความชื้นจากแผงคอยล์เย็น ทำหน้าที่ให้ความชื้นในอากาศและกลายเป็นหยดน้ำ ปล่อยอากาศร้อนหรืออากาศแห้งเข้ามาแทนที่ ซึ่งความชื้นนั้นจะมาอยู่ในรูปแบบของหยดน้ำและถูกระบายน้ำทิ้ง
ส่วนประกอบหลัก ๆ ของเครื่องดูดความชื้นมีอะไรบ้าง
ในเครื่องดูดความชื้น Dehumidifier จะมีอุปกรณ์ที่หลากหลายมาก โดยภายในเครื่องจะมีส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้
- เซ็นเซอร์ อุณหภูมิ – ทำหน้าที่ที่จะคอยวัดค่าอุณหภูมิ
- เซ็นเซอร์ ความชื้น – ทำหน้าที่จะคอยวัดค่าความชื้น
- มอเตอร์พัดลม – ทำหน้าที่คอยระบายความร้อนจากตัวเครื่องที่จะออกมาแทนที่ความชื้น
- เมนบอร์ดควบคุม – จะอยู่ในตัวควบคุม ทำหน้าที่คอยควบคุมการทำงานทั้งหมด
เครื่องดูดความชื้นมีกี่ประเภท
1.เครื่องดูดความชื้นแบบไฮบริด
เป็นเครื่องดูดความชื้นที่สามารถฟอกอากาศและเพิ่มอุณหภูมิในห้องได้ สามารถใช้เครื่องดูดความชื้นประเภทนี้ได้กับทุกห้องของคุณ แต่มักจะมีราคาแพง โดยทั่วไปสามารถดูดความชื้นในห้องขนาดกลางได้ดี ไม่ได้มีไว้เพื่อดูดความชื้นทั่วทั้งบ้าน
2.เครื่องดูดความชื้นแบบเซมิคอนดักเตอร์
เครื่องดูดความชื้นในอากาศประเภทนี้ จะสามารถใช้งานได้ง่าย มีขนาดค่อนข้างเล็ก ปราศจากเสียงรบกวนเวลาเปิดใช้งาน ช่วยให้คุณสะดวกเหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น ห้องนอน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในห้องนอนเด็กเล็กได้ เครื่องใช้งานได้ดีแม้ในพื้นที่แคบ แต่ก็มีข้อด้อยของเครื่องดูดความชื้นขนาดเล็กคือ หากคุณวางเครื่องผิดพื้นที่ หรือ วางในห้องที่ใหญ่ ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร
3.เครื่องดูดความชื้นแบบคอมเพรสเซอร์
คอมเพรสเซอร์ของเครื่องดูดความชื้น จะทำงานในลักษณะเดียวกับตู้เย็นในบ้านคุณ ด้วยกลไกการทำงานคือใช้อากาศร้อนและดูดความชื้นเข้าเครื่องทำให้อากาศเย็นลง มีข้อเสียคือเครื่องดูดความชื้นแบบคอมเพรสเซอร์นั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าแบบประเภทอื่น ๆ
เนื่องจากมีเสียงการทำงานของคอมเพรสเซอร์และพัดลมดัง คล้ายกับเครื่องปรับอากาศ ด้วยเครื่องลดความชื้นคอมเพรสเซอร์จะสั่งงานพัดลม หรือ พัดลมแอร์ที่ดึงอากาศผ่านคอยล์เย็นทำให้ความชื้นกลั่นตัว เกิดหยดน้ำ จากนั้นหยดน้ำจะไหลเข้าสู่ถังซึ่งต้องเททิ้ง
หลักการทำงานของเครื่องดูดความชื้น
คือ มีลักษณะการทำงานคล้ายกับเครื่องปรับอากาศ ช่วยในการดูดความชื้นจากอากาศผ่านแผงคอยล์เย็น ซึ่งทำหน้าที่ให้ความชื้นในอากาศกลายเป็นหยดน้ำ และปล่อยอากาศร้อน หรือ อากาศแห้งเข้าแทนที่ ซึ่งความชื้นที่อยู่ในรูปแบบของหยดน้ำจะถูกปล่อยทิ้งไปตามท่อน้ำทิ้ง
วิธีใช้งานเพื่อลดความชื้นในห้อง
1.ต้องมีช่องระบายอากาศภายในห้อง
ทำให้ห้องทุกห้องภายในบ้านมีช่องระบายอากาศ ด้วยการติดตั้งหน้าต่างและคอยเปิดให้โอกาศได้ระบายออกอย่างเต็มที่ หากมี ฉากกั้นห้อง ให้นำออกให้หมดจะช่วยให้ลดปัญหาบ้านอับชื้น ลดการสะสมของเชื้อโรค ที่สำคัญทำให้บ้านไม่มีกลิ่นอับชื้น หมดปัญหาบ้านร้อนไปได้เลย
2.ติดตั้งพัดลมระบายอากาศ
การติดตั้ง พัดลมดูดอากาศ เพื่อระบายอากาศในห้องที่มีความอับชื้นสูง เช่นห้องน้ำ ที่มี เครื่องทำน้ำอุ่น ห้องครัว ช่วยลดปัญหาความอับชื้นภารในบ้านได้อย่างดีเมื่อเราจะอาบน้ำ หรือควรเปิด พัดลมเล็ก ช่วยระบายอากาศ เมื่ออาบน้ำเสร็จให้เปิดทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีเพื่อไล่ความชื้นออกจากห้องน้ำ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อราในห้องน้ำที่มีความชื้นสูง
3.ให้วางต้นไม้ภายในห้องให้ถูกที่
ต้นไม้จะช่วยสร้างบรรยากาศให้ภายในห้องดูร่มรื่น น่าอยู่ ต้นไม้เหล่านี้จะชอบคาบน้ำออกมา ดังนั้นเราควรวาง กระถางต้นไม้ ที่ที่แดดส่องถึง เพราะต้นไม้นอกจากช่วยฟอกอากาศแล้ว ยังช่วยลดดูดซับกลิ่นอับชื้นได้ด้วย
4.นำสารดูดความชื้นมาตั้งในห้อง
ปัจจุบันมีสารดูดความชื้นที่ผลิตขึ้นจากธรรมชาติ หรือ พวกซิลิก้าเจล หลากหลายยี่ห้อ หรือแม้แต่ น้ำมันหอมระเหย เราแนะนำให้ใช้สารดูดความชื้นที่ผลิตจากสารธรรมชาติมากกว่า มีประสิทธิภาพดีกว่า ปลอดภัยต่อร่างกายของเรา
5.งดการอาบน้ำอุ่น
การอาบน้ำอุ่นโดย เครื่องทำน้ำอุ่น จะทำให้เกิดปริมาณไอน้ำเป็นจำนวนมาก ถ้าเป็นไปได้ควรงดการอาบน้ำอุ่น ถ้าไม่จำเป็นหรือปรับอุณหภูมิน้ำให้ต่ำลง เพื่อลดความชื้นสะสมที่เกิดจากในไอน้ำที่สะสมในห้องน้ำ
6.ติดตั้งเครื่องดูดความชื้น
หากต้องการความสะดวกที่สุด การเลือกซื้อเครื่องดูดความชื้นคือการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว โดยเครื่องดูดความชื้นมีให้เลือกหลายขนาดตั้งแต่วางในพื้นบ้าน จนถึงขนาดใหญ่ที่คู่คล้ายตู้ขนาดย่อม เหมาะกับการใช้ภายในอาคารหรือห้องขนาดใหญ่
โดยการเลือกให้เหมาะสมก็ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานได้เต็มที่ ความชื้นในห้องจะถูกปรับให้อยู่ในระดับที่พอดี ช่วยลดกลิ่นอับและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและเชื้อราได้อีกด้วย
7.ใช้ผนังที่ทนต่อเชื้อรา
ปัญหาผนังบ้านสีพอง หลุดร่วง เป็นเชื้อรา ทั้งในห้องน้ำ ห้องที่มีความชื้น พบมากในบ้านที่ไม่ใช้ผนังชนิดทนชื้นทนราทำให้น้ำหรือความชื้นแทรกซึมเข้าไปสะสมในบริเวณผนัง หรือนอกจากปัญหาอับชื้น การมีเชื้อราจะทำให้ผนังบ้านสกปรก และยังส่งผลให้บ้านดูทรุดโทรมลงอีกเรื่อย ๆ
ปัจจัยที่ความชื้นสัมพัทธ์สูง อาจก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง
1.อาหารเน่าเสีย
ความชื้นในอากาศสูง อาจส่งผลให้อาหารเน่าเสียได้ เพราะไอน้ำในอากาศทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ ยิ่งความชื้นภายในห้องสูงเท่าไหร่ อาหารก็มีโอกาสเน่าเสียง่ายยิ่งขึ้น
2.เกิดเชื้อราและกลิ่นอับ
สาเหตุของการเกิดเชื้อราและกลิ่นอับคือ ความชื้น ซึ่งเมื่อเกิดความชื้นอาจลามไปทำลายโครงสร้างของบ้านได้ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ สินค้า ข้าวของเครื่องใช้ได้เช่นกัน
3.เกิดสนิม
ความชื้น คือตัวร้ายที่ทำให้เครื่องมือ อุปกรณ์ที่เป็นเหล็กเกิดสนิมได้ รวมถึงสายฉนวนกันความร้อนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หากความชื้นเข้าไปทำลายเนื้อวัสดุอาจนำไปสู่เหตุไฟฟ้าลัดวงจรได้
4.เกิดปัญหาด้านสุขภาพ
ความชื้นทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพได้ เช่น ทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัว หรือ อาจทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้
5.เฟอร์นิเจอร์บวม
ความชื้น อาจทำให้เฟอร์นิเจอร์บวมได้ หากมีความชื้นสูง นอกจากบวมแล้วยังเปราะง่าย ไม่แข็งแรง ไม่ทนทาน
ประโยชน์ของเครื่องดูดความชื้น
- เครื่องดูดความชื้น จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศ เนื่องจากความชื้นทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น
- ปกป้องการเกิดสนิมในเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือที่เป็นเหล็ก
- ป้องกันเฟอร์นิเจอร์บวม และ ป้องกันไม่ให้เฟอร์นิเจอร์เสื่อมสภาพเร็ว
- ช่วยลดการเกิดเชื้อรา และลดการเกิดเชื้อโรคในเสื้อผ้า ลดการคัน ระคายเคือง ลดกลิ่นอับได้
- ช่วยลดการเกิดโรคภูมิแพ้ หรือ ลดภาวะภูมิแพ้กำเริบ เชื้อโรค เชื้อรา เชื้อแบคทีเรียน้อยลง
การเลือกซื้อเครื่องดูดความชื้น
1.เลือกเครื่องดูดความชื้นให้ตรงกับความต้องการ
โดยเลือกขนาดเครื่องดูดความชื้น โดยพิจารณาจากพื้นที่ห้องเป็นตารางฟุต ว่าจะต้องใช้เครื่องดูดความชื้นขนาดใด ก็จะขึ้นอยู่กับความกว้างของห้องที่จะติดตั้ง โดยให้เลือกห้องหลักที่จะติดตั้งเครื่องดูดความชื้น จากนั้นวัดพื้นที่ห้องเป็นตารางฟุต และเอาไปอ้างอิงเลือกเครื่องดูดความชื้นในขนาดที่เหมาะสม
2.ความจุต้องเหมาะสม
ลำดับต่อมาคือการคำนึงถึงระดับความชื้นภายในห้องนั้น โดยวัดเป็นปริมาณ pints (1 pint ประมาณ 0.5 ลิตร) ของน้ำที่ได้จากบรรยากาศในห้องภายใน 24 ชั่วโมง ผลที่ได้จะเป็นตัวกำหนดว่าห้องนั้นมีความชื้นเท่าไหร่
- ตัวอย่างห้องขนาด 500 ตารางฟุต หรือ ประมาณ 45 ตรม. มีสภาพอากาศที่อับชื้น อากาศชื้นแฉะ ก็จะต้องใช้เครื่องดูดความชื้นขนาดประมาณ 40-45 pints หรือประมาณ 19-21 ลิตร
- เครื่องดูดความชื้นสามารถจุน้ำได้ถึง 44 pints ประมาณ 20 ลิตร ด้วยกันใน 24 ชั่วโมง ในห้องกว้างได้มากถึง 2500 ตารางฟุต หรือ ประมาณ 230 ตรม..
3.ใช้เครื่องดูดความชื้นขนาดใหญ่ สำหรับห้องกว่างหรือเป็นห้องใต้ดิน
สำหรับความชื้นที่ใหญ่ ก็จะดูดความชื้นในห้องได้รวดเร็วทันใจกว่า และยังไม่ต้องเทน้ำในเครื่องทิ้งบ่อย ๆ ด้วย แต่ก็แน่นอนยิ่งเครื่องใหญ่ ราคาก็ยิ่งแพง แถมกินไปตามมา
4.ให้ใช้เครื่องดูดความชื้นแบบพิเศษสำหรับพื้นที่เฉพาะ
การติดตั้งเครื่องดูดความชื้นในห้องขนาดพิเศษ เช่นห้องสปา สระว่ายน้ำ โกดังสินค้า ก็ต้องเลือกเครื่องดูดความชื้นสำหรับสถานที่นั้นโดยเฉพาะ
5.เลือกจากคุณสมบัติที่ต้องการ
เครื่องดูดความชื้นในปัจจุบันนี้ จะมีหลากหลายฟังก์ชัน และ Setting ให้เลือกสรร เครื่องยิ่งแพงยิ่งมีหลายตัวเลือกในการใช้งาน แต่ฟีเจอร์หรือฟังก์ชันหลัก ๆ ที่พบบ่อยเช่น
Adjustable Humidistat
เป็นฟีเจอร์สำหรับควบคุมระดับความชื้นในห้อง สามารถตั้ง Humidistat ได้ตามระดับความชื้นสัมพันธ์ที่ต้องการ เมื่อถึงระดับที่ต้องการแล้วเครื่องจะตัดเองโดยอัตโนมัติ
Built-in Hygrometer
เป็นอุปกรณ์ใช้วัดระดับความชื้นในห้อง จะช่วยให้เครื่องดูดความชื้นในห้องมาเป็นน้ำได้แม่นยำที่สุด
Automatic Shut off
เครื่องดูดความชื้นส่วนใหญ่จะตัดอัตโนมัติด้วยตัวเอง เวลาปรับระดับความชื้นในห้องได้ตามต้องการแล้ว หรือ เมื่อถาดใส่น้ำของเครื่องเต็ม
Automatic Defrost
กรณีเครื่องดูดความชื้นทำงานหนักเกินไป น้ำแข็งจะเกาะที่คอยล์ของเครื่อง จะเป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนต่าง ๆ ข้างใน กรณีมีตัวเลือก automatic defrost หรือละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ จะช่วยให้พัดลมในเครื่องทำงานละลายน้ำแข็งเอง
6.มีระบบน้ำทิ้งที่เป็นแบบคู่
กรณีที่ไม่ต้องการน้ำทิ้งด้วยตนเอง อยากแนะนำให้เลือกเครื่องดูดความชื้นที่มีการทำงานแบบระบบน้ำทิ้งคู่ จะมีทั้งสามารถต่อท่อปลายน้ำทิ้งเอง หรือ แบบเททิ้งปกติ กรณีซื้อเครื่องไม่สามารถต่อท่อหรือถอดออกเททิ้งเองได้ แนะนำเอาให้ตรวจสอบก่อนว่ามีที่จับเพื่อเทน้ำทิ้งได้สะดวกไหม
7.เลือกให้เหมาะกับห้อง
นอกจากเครื่องแล้ว ห้องที่จะนำเครื่องมาวางก็สำคัญ เพราะแต่ละรุ่น แต่ละขนาดจะมีความเหมาะสมต่อการใช้งาน กรณีเครื่องเล็กแต่ห้องใหญ่ก็จะทำงานหนักแบบที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ เราแนะนำขนาดห้อง 5-15 ตารางเมตร จะเหมาะกับความจุถุง 0.5-1.5 ลิตรหรือขนาดห้องที่ 20-40 ตารางเมตร ก็จะเหมาะกับความจุถังน้ำ 1.5-3 ลิตร
8.เลือกแบบชาร์จไฟฟ้าได้เพิ่มความสะดวกสบาย
ปัจจุบันมีเครื่องดูดความชื้นแบบไร้สาย เพียงแค่นำไปวางในพื้นที่ที่ต้องการให้ดูดความชื้นก็สามารถทำงานได้เลย โดยหลักการเครื่องจะมีสารที่ชื่อซิลิกกอนไดออกไซด์ หรือ ซิลิกา ดังนั้นเลือกแบบชาร์จไฟก็จะใช้งานได้สะดวกกว่า
วิธีติดตั้งและการดูแลเครื่องดูดความชื้น
- หลีกเลี่ยงการวางไว้ในที่มีแสงแดดหรืออยู่ใกล้ความร้อน
- วางให้ห่างจากผนังประมาณ 30 เซนติเมตร
- ติดตั้งฝั่งตรงข้ามกับเครื่องปรับอากาศ เพื่อให้เครื่องทำงานได้เต็มที่
- ไม่ควรเคลื่อนย้ายหรือยกขณะเครื่องกำลังทำงาน
- ถอดปลั๊กไฟทุกครั้งหากต้องการเปลี่ยนหรือทำความสะอาดแทงก์น้ำ
- เช็ดตัวเครื่องภายนอกด้วยผ้าสะอาดสัปดาห์ละครั้ง
- ทำความสะอาดแผ่นกรองเดือนละครั้ง และแผงคอยล์เย็นทุก 6 เดือน
เมื่อไหร่ถึงต้องใช้เครื่องดูดความชื้น
1.ใช้เครื่องดูดความชื้นเมื่อห้องมีอากาศชื้นแฉะ
ห้องที่มีอากาศชื้นเกินไปและมีกลิ่นเหม็นอับ แสดงว่ามีระดับความชื้นในอากาศค่อนข้างสูง กรณีนี้ให้เปิดเครื่องดูดความชื้นเพื่อปรับระดับความชื้นสัมพัทธ์ในห้องให้กลับเป็นปกติ แต่ถ้ามือแตะแล้วผนังยังเปียกชื้น หรือ สังเกตุเห็นมีราขึ้น ให้เปิดเครื่องดูดความชื้นเป็นประจำ
ข้อสังเกตุเมื่อคุณต้องเปิดเครื่องดูดความชื้น
**สัญญาณสำคัญบอกว่าคุณจำเป็นต้องใช้เครื่องดูดความชื้นคือ เมื่อหน้าต่างมีคราบไอน้ำจับมองเห็นคราบเชื้อรา หรือ เห็นรอยชื้นตามผนัง หรือ บนเพดาน
**ถ้าห้องนั้นเคยโดนน้ำท่วมมาก่อน หลังน้ำลดแนะนำให้ทำความสะอาดห้องก่อนแล้วเปิดเครื่องดูดความชื้นเรื่อย ๆ เพื่อขจัดความชื้นส่วนเกินในอากาศ
2.ใช้เครื่องดูดความชื้นในหน้าร้อน
ในหน้าร้อน หรือ ช่วงอากาศร้อนชื้น ส่วนใหญ่จะมีอากาศที่ชื้นแฉะจนทำให้ตัวเหนียวเหนอะหนะ แบบนี้ให้เปิดเครื่องดูดความชื้นได้เลย จะช่วยปรับระดับความชื้นสัมพัทธ์ในบ้านให้เหมาะสม
**โดยสามารถใช้เครื่องดูดความชื้นควบคู่ไปกับเครื่องปรับอากาศได้ เพราะจะทำให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้อุณหภูมิในห้องเย็นสบาย แถมยังช่วยประหยัดค่าไฟได้ด้วย
3.ใช้เครื่องดูดความชื้นสำหรับการแก้ปัญหาสุขภาพ
สำหรับคนที่เป็นโรคหอบหืด ภูมิแพ้ หรือ เป็นหวัดคัดจมูก ให้เปิดเครื่องดูดความชื้นจะช่วยได้มาก เพราะจะทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น ไซนัสโล่ง บรรเทาอาการเป็นหวัดคัดจมูกได้ดี
**โดยรักษาระดับความชื้นภายในห้องให้อยู่ในช่วง 40%-60% จะช่วยบรรเทาโรคระบบทางเดินหายใจ เพราะมันจะลดจำนวนของเชื้อในอากาศ
4.ใช้เฉพาะเครื่องดูดความชื้นบางประเภทสำหรับอากาศหนาว
เครื่องดูดความชื้นส่วนใหญ่ เช่น แบบใช้คอมเพรสเซอร์ จะทำงานได้ไม่เต็มที่เวลาอุณหภูมิต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียส ยิ่งอากาศหนาวเท่าไหร่ น้ำแข็งก็ยิ่งเกาะคอยล์ของเครื่องง่ายขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
**ตัวอย่างเครื่องดูดความชื้นแบบใช้สารดูดความชื้น Desiccant Dehumidifier ก็เหมาะจะใช้เวลาอากาศหนาว แนะนำให้ใช้เครื่องดูดความชื้นที่ทำงานได้ดีเวลาอุณหภูมิต่ำ
5.ตำแหน่งการจัดวางเครื่องดูดความชื้นในห้อง
5.1 ตำแหน่งอากาศรอบเครื่องดูดความชื้นต้องถ่ายเทสะดวก
ปกติเรามักจะตั้งเครื่องดูดความชื้นติดผนัง ถ้าช่องลมอยู่ด้านบน แต่ถ้าไม่มีฟีเจอร์ก็ต้องเว้นที่เผื่อไว้รอบ ๆ เครื่อง ให้อากาศถ่ายเท กรณีนี้ห้ามวางเครื่องดูดความชื้นชิดติดผนัง เพราะยิ่งอากาศถ่ายเทสะดวก เครื่องยิ่งทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ระยะเว้นที่ให้อากาศถ่ายเทรอบเครื่องทุกด้านประมาณ 15-30 ซม.
5.2 ระวังเรื่องสายระบายน้ำ
การระบายน้ำจากเครื่องผ่านสายยาง ต้องให้ท่อต่อลงอ่างล้างจาน หรืออ่างอาบน้ำ อย่าให้เอียงไปทางอื่น หมั่นเช็คสายไม่เขยื้อน แนะน้ำยังไหลลงอ่างได้ดี และระวังอย่าให้สายระบายน้ำอยู่ใกล้ปลั๊กไฟ ป้องกันไฟดูดหรือลัดวงจร
5.3 อย่าวางเครื่องดูดความชื้นบริเวณที่มีฝุ่นเยอะ
ให้ตั้งเครื่องดูดความชื้นห่างจากจุดที่ฝุ่นฟุ้ง หรือสิ่งสกปรกเยอะ
6.ตั้งเครื่องในห้องที่ชื้นที่สุด
ห้องที่มีความชื้นแฉะเป็นประจำ เช่น ห้องน้ำ ห้องซักล้าง ห้องใต้ดิน เป็นห้องที่แนะนำให้ตั้งเครื่องดูดความชื้นไว้
7.ตั้งเครื่องดูดความชื้นในระบบ HVAC
สำหรับเครื่องขนาดใหญ่ จะเน้นเชื่อมต่อกับระบบ HVAC จะมาพร้อมท่อต่อและชุดอุปกรณ์ติดตั้งอื่น ๆ ที่จำเป็น เราแนะนำให้ปรึกษาและใช้บริการที่ร้านที่คุณซื้อเครื่องมาโดยตรง
8.ตั้งเครื่องดูดความชื้น 1 เครื่องต่อ 1 ห้อง
เครื่องดูดความชื้นทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ควรตั้งไว้ 1 เครื่องต่อ 1 ห้อง และปิดหน้าต่างและประตูไว้ หรือจะติดตั้งกึ่งกลางระหว่างสองห้องก็ได้ แต่การทำงานจะลดประสิทธิภาพลง
9.ควรตั้งเครื่องดูดความชื้นกลางห้อง
ส่วนใหญ่เครื่องดูดความชื้นจะเป็นแบบติดผนังหรือแบบตั้งเครื่องดูดความชื้นกลางห้องเลย เพื่อให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
รีวิวเครื่องลดความชื้น LG PuriCare Dehumidifier
FAQS คำถามที่พบบ่อยของเครื่องดูดความชื้น
เครื่องดูดความชื้นช่วยอะไร
เครื่องดูดความชื้น จะลดระดับความชื้น ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเชื้อราในบ้านของคุณ กำจัดกลิ่นเหม็นอับหรือกลิ่นเหม็นเน่า รวมถึงช่วยลดการระคายเคืองต่อผิวและระบบทางเดินหายใจ ช่วยให้คุณหายใจได้ง่ายขึ้นและรู้สึกสบายใจ
และสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นน้อยกว่าในบ้านของคุณ เสื้อผ้าจะแห้งเร็ว ขนมปังและซีเรียสจะยังคงสดใหม่ โดยไม่ทำให้เก่าและคุณจะไม่พบรอยสนิมหรือการกัดกร่อนในสิ่งต่าง ๆ และที่สำคัญเครื่องดูดความชื้นจะช่วยลดต้านทุนด้นพลังงาน เพราะช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องดูดความชื้นจำเป็นไหม
เครื่องดูดความชื้นมีความจำเป็นอย่างมาก จะช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราและแบคทีเรียที่ผนัง และทำให้เชื้อราที่เกาะอยู่ที่ผนังห้องหรือวอลเปเปอร์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ต่าง ๆ หลุดลอกออกได้ง่าย สามารถควบคุมความชื้นได้ตั้งแต่ 40-70% ลดความชื้นภายในห้องได้ 40 ลิตรต่อวัน
สรุป
เครื่องดูดความชื้นมีความสำคัญมาก และมีประโยชน์มากกว่าที่หลายคนคิด หากไม่มีเครื่องดูดความชื้นอาจทำให้ส่งผลเสียหลายด้าน หากคุณกำลังมองหาเครื่องดูดความชื้น
ลองอ่านบทความนี้แล้วตัดสินใจเลือกเครื่องดูดความชื้นที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณเพราะเครื่องดูดความชื้นแต่ละประเภทเหมาะกับห้องที่มีขนาดแตกต่างกันไป เลือกฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ เลือกจากแหล่งขายที่เชื่อถือได้ มีการรับประกัน การบริการหลังการขาย จากแบรนด์ชั้นนำด้านเครื่องดูดความชื้นยิ่งดี
ควบคุมและดูแลการผลิตคอนเท้นส์ ชื่นชอบที่จะนำเสนอคอนเท้นส์ที่ดีๆ มีประโยชน์ให้กับท่านผู้อ่าน
เครื่องดูดความชื้น HAFELE
-วัสดุทำมาจากพลาสติก ABS น้ำหนักเบา
-แรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ กำลังไฟ 240 วัตต์
-ขนาด กว้าง 228 มม. x ลึก 150 มม. x สูง 373 มม.
เครื่องดูดความชื้น Xiaomi
-แรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ กำลังไฟ 240 วัตต์
-สามารถเชื่อมต่อผ่าน App Mi Home
-มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลายแบบ
-เสียงเบา ไม่รบกวน
เครื่องดูดความชื้น HANABISHI
-สำหรับห้องขนาด 10 – 20 ตารางเมตร
-ปรับสมดุลอากาศภายในบ้าน ลดแบคทีเรีย
-ขนาด 145 มม. x 178 มม. x 222 มม.
-ความจุน้ำสูงสุด 1 ลิตร
เครื่องดูดความชื้น HOMEMATE
-ขนาด กว้าง 33 ซม. x ลึก 23 ซม. x สูง 50.4 ซม.
-มีล้อและหูจับ สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก
-สำหรับห้องขนาด 30 ตารางเมตร
-ความจุน้ำสูงสุด 4 ลิตร
เครื่องดูดความชื้น NEW WIDETECH
-ฟิลเตอร์สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้
-ล้อสามารถหมุนได้ 360 องศา
-ตั้งเวลาทำงานได้ 12 ชัวโมง
-ความจุน้ำสูงสุด 7 ลิตร
เครื่องดูดความชื้น Electrolmax
-แรงดันไฟฟ้า 220 – 240 โวลต์ กำลังไฟ 90 วัตต์
-สำหรับห้องขนาด 30 – 90 ตารางเมตร
-มีหน้าจอ LCD แสดงฟังก์ชั่นการทำงาน
เครื่องดูดความชื้น HYSURE
-แรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ กำลังไฟ 23 วัตต์
-ลดความชื้น ลดแบคทีเรีย เสียงรบกวนต่ำ
-สามารถปรับอุณหภูมิในตัวเองได้อัตโนมัติ
เครื่องดูดความชื้น Deerma รุ่น CS50M
-ขนาด 7.5 ซม. x 7.5 มม. x 20.6 ซม.
-มีช่องดูดความชื้นรอบเครื่อง 360 องศา
-แรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ กำลังไฟ 20 วัตต์
-ใช้งานได้หลากหลาย เช่น ตู้เสื้อผ้า กล่องเก็บรองเท้า
เครื่องดูดความชื้น Biaowang
-สำหรับห้องขนาด 21 – 40 ตารางเมตร
-หน้าจอ LCD แสดงฟังก์ชั่นการทำงาน
-มีระบบฟอกอากาศ Photocatalyst
-แรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ กำลังไฟ 90 วัตต์
-ถังน้ำสามารถถอดล้างทำความสะอาดได้
เครื่องดูดความชื้น Bwell รุ่น BDH-30
-หน้าจอ Digital มีตัวเลขบอกระดับความชื้น
-ขนาด 280 มม. x 370 มม. x 580 มม.
-สำหรับห้องขนาด 30 – 50 ตารางเมตร
-น้ำหนักของสินค้า 18 กิโลกรัม